วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Who Is KORN


ผมอยากทำ Blog ส่วนตัวมานานแล้ว ตอนแรกมีความคิดจะทำ http://www.thailandfactory.net/ เป็นแค่ Blog เล็กๆสื่อสารกับเพื่อนๆในวงการทำงาน ไปๆมาๆ มีคนสนใจเยอะมาก ทำให้ต้องทำอะไรต่อมิอะไรรองรับความต้องการของลูกค้าเป็นส่วนใหญ่ (โดยยอมเสียสละความเป็นส่วนตัวออกไปบางส่วน) คือมันมีความเป็นธุรกิจที่เราไม่ได้ตั้งใจเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่น่าเชื่อมีคนสนใจ thailandfactory.net เป็นเรื่องเป็นราว แน่นอนมันกลายเป็นปรากฎการณ์ไปแล้ว ผมเลยต้องหามุมส่วนตัว มารองรับความเป็นตัวตนของผมอีกที เอาชัดๆ ผมเป็น Super webmaster ของ thailandfactory.net เวลาที่คุณต้องการเรื่องราวที่เป็น thailandfactory.net คุณก็ไปที่นั่น วันไหนเบื่อเซ็งอยากเจอกับพี่กรณ์เป็นการส่วนตัว ก็แวะมาที่นี่ แต่บอกไว้ก่อนว่าต่างกันนะครับ

ที่นี่มีประโยชน์ไหม ? มีแน่นอน ผมทำอะไรไร้สาระไม่ค่อยจะเป็น ถึงแม้ตัวจริงของผมจะเป็นคนโครตสนุกมากๆ ใครที่คบกับผมก็จะพอยมีความสุขตามอัตภาพกันไป ผมไม่ค่อยทำให้ผิดหวัง ถึงแม้ชีวิตจริงที่ไม่อิงนิยายจะแบกรับอะไรต่อมิอะไรไว้เยอะ แต่ไม่เป็นไร ผมยังมองโลกในแง่ดีเสมอ ผมยังเชื่อตลอดเวลาว่า "ทำดี ต้องได้ดี ซักวันผมต้องได้ดี ผมเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะในทุกสถานการณ์ ผมไม่เคยยอมแพ้และท้อแท้กับอะไรง่ายๆ ผมมีความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเหลือเฟือ" ผมพร้อมจะถ่ายทอด DNA ของผม องค์ความรู้และความเป็นผมทั้งหมด ให้พวกคุณ อย่างไม่หวงวิชาแม้แต่น้อย

Blog นี้มีอะไร
- องค์ความรู้ของผม นำเสนอเป็น บทความ
- เรื่องเล่าประจำสัปดาห์
- เรื่องดีๆที่ผมขุดมาให้อ่าน ในแบบของผม
- Talk for Work & Life
- มุมพักผ่อน ไปเที่ยวไหนมาก็จะมาเล่าให้ฟัง
- มุมหนังสือ แนะนำหนังสือน่าอ่าน
- Working Toolkit ที่คนละมุมกับ thailandfactory.net

แล้วแวะมาคุยกันบ่อยๆนะครับ

กรณ์ พรประเสริฐภัทรา
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการสร้างทีมงานที่ดี

สิ่งใดที่ทำให้ทีมงานของคุณทำงานด้วยกันได้? และอะไรคือปัจจัยสำคัญที่สร้างทีมงานให้มีประสิทธิภาพ? ส่วนใหญ่แล้ว ทีมงานที่ดีมักประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้
-มองอนาคตร่วมกันทีมงานจะมีจุดมุ่งหมายว่ากำลังจะไปทางใด และจุดมุ่งหมายนี้จะเป็นทางเดียวกันกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรสมาชิกเข้าใจหน้าที่ของตัวเองในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้เป้าหมายนั้นๆ บรรลุได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้
-มีจุดมุ่งหมายของทีมงานกับวัตถุประสงค์ที่แน่ชัดและเป้าหมายร่วมกันสมาชิกทุกคนในทีมงานมีบทบาทในการทำงานที่เด่นชัด และเข้าใจว่าหน้าที่ของตนอยู่ตรงไหน และหน้าที่ของคนอื่นในทีมงานอยู่ตรงไหน มีการวางเป้าหมายที่สามารถทำสำเร็จได้บ่อยครั้ง สมาชิกแต่ละคนยอมรับความแตกต่างของกันและกันได้ คุณค่าของสิ่งต่างๆ จะถูกตัดสินร่วมกันและกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานจะตั้งขึ้นโดยคนส่วนใหญ่
-มีบรรยากาศแห่งความไว้ใจและให้กำลังใจกันมีการเคารพซึ่งกันและกันโดยไม่เสแสร้ง เข้าใจกัน และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สมาชิกในทีมงานจะใช้เวลาในการรู้จักกันและกันและแสดงความเห็นใจกัน ซึ่งจะนำมาซึ่งความร่วมมือที่ดี
-มีการสื่อสารที่ดีมีการสื่อสารที่ครอบคลุมและได้รับข้อมูลที่ไม่มีการปิดบัง สมาชิกมีการฟังซึ่งกันและกันเท่ากับที่ตอบคำถามให้แก่กันและกัน สามาารถที่จะบอกผลกระทบทั้งในแง่ดีและในแง่ไม่ดีให้ฟังได้โดยไม่ขัดเขิน
-มีการยอมรับในปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างสร้างสรรค์ สมาชิกมีการเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างกันและทำให้ปัญหาต่างๆ ดูเป็นเรื่องธรรมดา มีการจัดการเรื่องราวต่างๆ ในทันทีและทำให้ปัญหานั้นเป็นปัญหาของทั้งทีมงานมากกว่าที่จะโทษใครเพียงคนเดียว
-มีระเบียบการที่ชัดเจนทีมงานจะมีระเบียบการสำหรับการตัดสินใจ การมอบหมายความรับผิดชอบ และการจัดประชุมต่างๆ
-มีผู้นำที่เหมาะสมผู้นำจะใช้กำลังของสมาชิกทุกคนอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด และรู้จักการใช้จิตวิทยาสำหรับทีมงาน
-มีการตรวจสอบวิจารณ์สิ่งต่างๆ ทีมงานมักจะประเมินทั้งหน้าที่และวิธีการทำงาน มีการทบทวนจุดมุ่งหมายและตั้งเป้าหมายใหม่เมื่อมีความจำเป็น สมาชิกมีทักษะในการแก้ไขปัญหาและเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากความผิดพลาดอย่างรวดเร็ว
-มีการมอบหมายงานให้แต่ละคนและพัฒนาคนให้เป็นมืออาชีพ สมาชิกทุคนจะมีการประเมินผลงานของตัวเองอยู่เป็นประจำ ผู้นำของทีมงานจะมีโอกาสในการพัฒนาสมาชิกแต่ละคน ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ก็มีสิทธิในการที่จะช่วยพัฒนาซึ่งกันและกัน หรือแม้แต่ช่วยพัฒนาคนที่เป็นผู้นำด้วย ทีมงานจะมีความสุขในการทำงาน
-มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มอื่นๆทีมงานจะต้องมีความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่นๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง และสามารถร่วมงานกับทีมงานอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี

การสร้างทีมงานให้มีประสิทธิภาพ
การสร้างทีมงานให้มีประสิทธิภาพ (Creating Effective Teams) จากผลการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ มีสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง 2 ประการคือ
การทำงานเป็นทีมนั้นมีความแตกต่างกันทั้งในรูปแบบและโครงสร้าง
Model นี้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า การทำงานเป็นทีมดีกว่าการทำงานคนเดียว องค์ประกอบหลัก ๆ ที่จะทำให้ทีมงานมีประสิทธิภาพ มี 4 ประเภท ได้แก่
1. การออกแบบลักษณะ งาน (work design)
2. องค์ประกอบ (composition) ของการทำงานเป็นทีม
3. ทรัพยากรและสภาพแวดล้อมอื่น ๆ (contextual) ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพของทีมงาน
4. กระบวนการ (process) ที่เป็นตัวแปรสะท้อนสิ่งต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการทำงานเป็นทีม ทีมงานที่มีประสิทธิภาพใน model นี้หมายถึงอะไร ? รูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้วัดการเพิ่มผลผลิต (productivity) ของทีม และสำหรับผู้จัดการไว้ใช้ประเมินผลงานของทีม ตลอดจนใช้วัดภาพรวมเกี่ยวกับความพึงพอใจของสมาชิกในทีม การออกแบบลักษณะงาน (Work design) ทีมที่มีประสิทธิภาพต้องทำงานร่วมกันและร่วมรับผิดชอบให้งานเสร็จอย่างสมบูรณ์ สมาชิกทุกคนต้องร่วมมือกันทำงานมากกว่า"การมีเพียงชื่ออยู่ในทีม " การออกแบบลักษณะงานนี้ต้องคำนึงถึงตัวแปรต่าง ๆ ด้วยเช่น ความเป็นอิสระ (freedom) การมีอิสระในการทำงาน (autonomy) โอกาสที่จะใช้ทักษะและความสามารถพิเศษที่มีอยู่ ความสามารถโดยรวมซึ่งต้องระบุงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการทำให้สำเร็จ และการทำงานในหน้าที่หรือโครงการที่มีผลกระทบต่อผู้อื่นด้วย มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าลักษณะที่กล่าวมานี้มีผลต่อการเพิ่มแรงจูงใจของสมาชิกในทีมและเพิ่มประสิทธิภาพของทีมงาน การออกแบบลักษณะงานให้จูงใจนี้ก็เพื่อให้สมาชิกมีความรู้สึกร่วมรับผิดชอบและมีความเป็นเจ้าของงานนั้น และจะทำให้เขาปฏิบัติงานนั้นด้วยความเอาใจใส่มากขึ้น องค์ประกอบของงาน (Composition) ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับการทำงานเป็นทีมได้แก่ ความสามารถ (ability) บุคลิกภาพของสมาชิกในทีม (personality) การกำหนดบทบาทและภาระหน้าที่ต่าง ๆ (roles and diversity) ขนาดของทีม (size of the team) ความชอบ (preference) และความยืดหยุ่น (flexibility)ของสมาชิกในการทำงานเป็นทีม ความสามารถของสมาชิก (Abilities of member)
การทำงานเป็นทีมจำเป็นต้องมีทักษะที่สำคัญ 3 ประการดังนี้
1. มีสมาชิกที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค (technical expertise)
2. มีสมาชิกที่มีทักษะในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ โดยสามารถระบุปัญหา แสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหา ประเมินทางเลือก และตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา
3. ทีมต้องมีบุคคลที่มีทักษะการฟัง การให้ข้อมูลย้อนกลับ การแก้ปัญหาความขัดแย้งตลอดจนทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่ดี (interpersonal skills) บุคลิกภาพ (Personality) บุคลิกภาพเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคลและจะส่งผลต่อพฤติกรรมของทีม ตามทฤษฎีบุคลิกภาพ Big five model ได้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของบุคลิกภาพกับการทำงานเป็นทีมว่าลักษณะของทีมที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มีบุคลิกภาพแบบเปิดเผย(extroversion)ประนีประนอม (agreeableness) รอบคอบระมัดระวัง (conscientiousness) และอารมณ์มั่นคง (emotional stability) ทีมที่มีบุคลิกภาพแบบนี้มี แนวโน้วที่จะมีผลงานของทีมที่ดีด้วย การกำหนดบทบาทและภาระหน้าที่ต่าง ๆ (Allocating Roles and Diversity) การทำงานเป็นทีม สมาชิกในทีมมีความต้องการที่แตกต่างกัน และสมาชิกในทีมควรคัดเลือกมาเพื่อให้มั่นใจว่ามีความหลากหลายในหน้าที่การงานและกำหนดบทบาทที่แตกต่างกัน
เราสามารถจำแนกบทบาทของสมาชิกในทีมที่มีศักยภาพได้ 9 ประการดังนี้
1. ผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creator) เป็นผู้ที่มีหน้าที่คิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ
2. ผู้ส่งเสริมสนับสนุน (Promotor) เป็นผู้สามารถนำความคิดริเริ่มใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน
3. ผู้ประเมิน (Assessor) เป็นผู้ที่คอยวิเคราะห์ข้อเสนอต่าง ๆเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินก่อนตัดสินใจ
4. ผู้จัดการระบบ (Oganizer) เป็นผู้ที่วางโครงสร้างและจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นในการทำงาน
5. ผู้ผลิต (Producer) เป็นผู้ที่กำหนดทิศทางการทำงานและติดตามผลการทำงานของทีม
6. ผู้ควบคุม (Controler) เป็นผู้ที่คอยตรวจสอบรายละเอียดและดูแลว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ ที่กำหนดไว้หรือไม่ อย่างไร
7. ผู้บำรุงรักษา (Maintainer) เป็นผู้ที่คอยปกป้องและ เผชิญ/ต่อสู้กับปัจจัยภายนอก
8. ผู้ให้คำปรึกษาแนะนำ (Advisor) เป็นผู้สนับสนุนในการแสวงหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ภายในทีม
9. ผู้เชื่อมโยง (Linkers) เป็นผู้ประสานงานและบูรณาการข้อมูลต่าง ๆ ภายในทีม การทำงานเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จนั้นจะมีสมาชิกที่แสดงบทบาททั้ง 9 ได้อย่างครบถ้วน และจะต้องเลือกบุคคลให้แสดงบทบาทต่าง ๆโดยคำนึงถึงทักษะ ความถนัด หรือความชอบของบุคคลนั้นด้วย (มีหลายทีมที่มีบุคคลที่เล่นได้หลายบทบาท) หัวหน้าทีมต้องรู้จักและเข้าใจลักษณะของสมาชิกแต่ละคนในทีม และควรมอบหมายงานให้สมาชิกแต่ละคนให้ตรงกับความชอบและความสามารถของแต่ละคน หากเป็นดังนี้แล้วสมาชิกในทีมก็จะร่วมมือกันทำงานในทีมได้เป็นอย่างดี ขนาดของทีม (Size of Teams) ทีมงานที่ดีควรมีสมาชิกประมาณ 7-9 คน ทีมที่มีประสิทธิภาพควรมีสมาชิกน้อยกว่า 10 คน ถ้ามีสมาชิกที่มากกว่านี้หัวหน้าก็อาจจะมีความยุ่งยากและพบปัญหาในการบริหารทีม ทีมงานไม่ควรมีสมาชิกน้อยกว่า 4-5 คน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีมุมมองและทักษะที่หลากหลาย ดังนั้นทีมที่มีประสิทธิภาพควรมีสมาชิกไม่เกิน 10 คน หากหน่วยงานที่มีขนาดใหญ่และต้องการให้พนักงานทำงานเป็นทีมก็ควรมีการแบ่งเป็นทีมย่อย ๆ ความยืดหยุ่นของสมาชิกในทีม (Member Flexibility) การสร้างทีมให้มีความยืดหยุ่นในการทำงานจะทำให้สมาชิกสามารถทำงานแทนกันได้ ซึ่งจะทำให้มีการ พึ่งพิงสมาชิกคนใดคนหนึ่งน้อยลง ดังนั้นจึงควรพัฒนาสมาชิกที่จะทำให้เกิดความยืดหยุ่นด้วยการฝึกให้เขาสามารถทำงานในหน้าที่อื่นของเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งจะส่งผลให้ผลงานของทีมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ความชอบของสมาชิก (Member Preference) พนักงานบางคนอาจไม่ชอบการทำงานเป็นทีม เมื่อถูกเลือกให้มาทำงานเป็นทีมหัวหน้าทีมจำเป็นต้องสร้าง ขวัญและความพึงพอใจให้กับสมาชิกแต่ละคน มีข้อเสนอแนะว่าหากมีการคัดเลือกสมาชิกเข้าทีม ควรพิจารณาเกี่ยวกับความสามารถ ความชอบ บุคลิกภาพและทักษะของแต่ละบุคคลด้วย ทั้งนี้เพราะทีมที่มีผลงานอย่างยอดเยี่ยมมักจะประกอบด้วยบุคคลที่ชอบการทำงานเป็นทีม สภาพแวดล้อม (Context) ปัจจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์อย่างสูงกับผลการปฏิบัติงานของทีมมี 4 ประการดังนี้
1. การมีทรัพยากรที่เพียงพอ (Adequate Resources) เพื่อให้การทำงานเป็นทีมมีประสิทธิภาพนั้นควรพิจารณาสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วยเช่น ข้อมูลที่ทันสมัย เทศโนโลยี กำลังพลที่เพียงพอ การช่วยเหลือและสนับสนุนตลอดจนผู้ช่วยบริหารทีมงาน ทีมงานต้องได้รับการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการทำงานจากผู้บริหาร
2. ผู้นำและโครงสร้าง (Leadership and Structure) ภายในทีมจำเป็นต้องมีผู้นำและโครงสร้างการทำงานของทีม เพื่อให้สมาชิกแต่ละคนทราบบทบาทหน้าที่และขอบเขตงานที่ตนเองรับผิดชอบและมีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ทีมต้องกำหนดแผนการทำงาน พัฒนาทักษะที่จำเป็นในการทำงานให้กับสมาชิก มีผู้นำคอยแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในทีม เป็นต้น ผู้นำนั้นในบางครั้งอาจไม่จำเป็น หลายครั้งเราอาจพบว่าการทำงานเป็นทีมที่ดีอาจไม่มีผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการก็ได้ ผู้นำที่ดีคือคนที่สามารถบริหารทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. บรรยากาศของความไว้วางใจ (Climate and Trust) สมาชิกของทีมงานที่มีประสิทธิภาพมักมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และเขามักแสดงออกถึงความไว้วางใจในตัวผู้นำทีมด้วย ความไว้วางใจกันของสมาชิกภายในทีมจะเอื้อให้เกิดความร่วมมือกัน ลดความจำเป็นที่ต้องมีการควบคุมพฤติกรรมโดยบุคคลอื่น และสมาชิกจะมีความเชื่อว่าไม่มีใครในทีมที่เอาเปรียบ ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้นำ ความไว้วางใจในตัวผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สมาชิกในทีมเต็มใจที่จะยอมรับและมีความผูกพันต่อเป้าหมายและการตัดสินใจของผู้นำ
4. การประเมินผลการปฏิบัติงานและระบบการให้รางวัล (Performance Evaluation and Reward systems) การประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นรายบุคคลเพื่อจ่ายค่าจ้างต่อชั่วโมง หรือแรงกระตุ้นส่วนบุคคล (Individual incentives) ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาผลงานของทีมให้สูงขึ้น ดังนั้นการประเมินผลหรือระบบการให้รางวัลควรพิจารณาเป็นกลุ่ม เช่น การแบ่งปันผลประโยชน์ การแบ่งปันสิ่งที่ได้รับ แรงกระตุ้นสำหรับกลุ่มย่อย และระบบการเสริมแรงอื่น ๆ ควรให้เป็นทีมมากกว่าการให้เป็นรายบุคคล กระบวนการ (Process) กระบวนการในการทำงานก็เป็นตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพของทีม โดยสมาชิกในทีมต้องมีความผูกพันกับสิ่งเหล่านี้
1. วัตถุประสงค์ทั่วไป (Common Purpose) การทำงานเป็นที่มีประสิทธิภาพนั้นสมาชิกในทีมต้องร่วมกันตั้งวัตถุประสงค์ในการทำงานเพื่อกำหนดทิศทาง การทุ่มเทแรงกายแรงใจ และความผูกพันของสมาชิก ซึ่งวัตถุประสงค์นี้ก็คือ วิสัยทัศน์ (vision) นั่นเองซึ่งมีความหมายกว้างกว่าคำว่า "เป้าหมาย"
2. เป้าหมายเฉพาะ (Specific Goals) ทีมที่ประสบความสำเร็จจะแปลงวัตถุประสงค์ทั่วไปมาเป็นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง (specific) สามารถวัดได้ (measurable) และมีความเป็นไปได้จริง (realistic) การตั้งเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจงนี้จะช่วยให้การสื่อสารภายในทีมมีความชัดเจนขึ้น และทำให้ทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมาย จากผลการวิจัยพบว่าการตั้งเป้าหมายส่วนบุคคล หรือเป้าหมายของทีมควรมีความท้าทาย (challenging) การตั้งเป้าหมายที่ยากพบว่ามีผลต่อการเพิ่มผลงานของทีมให้สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับคุณภาพ มีแนวโน้มทำให้คุณภาพสูงขึ้น การตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับความเร็ว มีแนวโน้วมทำให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น การตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับความถูกต้องมีแนวโน้มทำให้ความถูกต้องเพิ่มขึ้น เป็นต้น
3. ความเชื่อในศักยภาพของทีม (Efficacy) ทีมที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีความเชื่อมั่นในทีมของตนเอง สมาชิกในทีมจะมีความเชื่อว่าทีมของเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ เราเรียกสิ่งนี้ว่า "Team efficacy" ทีมที่เคยทำงานประสบความสำเร็จจะมีความเชื่อว่าการทำงานในอนาคตจะประสบความสำเร็จเช่นกัน ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจทำให้เขาทำงานหนักขึ้น มีความพยายามมากขึ้น การที่จะทำให้ทีมมี Team efficacy สูงขึ้นนั้นสามารถสร้างได้โดยการทำให้ทีมประสบความสำเร็จทีละเล็กทีละน้อยหลาย ๆ ครั้ง และการฝึกฝนทักษะภายในทีมให้เพิ่มพูนขึ้นก็จะทำให้ทีมมั่นใจเพิ่มขึ้นมี Team efficacy สูงขึ้น
4. ระดับความขัดแย้ง (Conflict Level) ความขัดแย้งภายในทีมมิใช่เป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ในทางตรงกันข้ามทีมที่หลีกหนีความขัดแย้งจะเริ่มกลายเป็นทีมที่เงียบเหงา หยุดนิ่งไม่มีการพัฒนา ความขัดแย้งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของทีม และทำให้ไม่เกิดลักษณะะของ groupthink (พวกมากลากไป) ความขัดแย้งในงานจะเป็นสิ่งเร้าทำให้ทุกคนช่วยกันอภิปราย ส่งเสริมการประเมินเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับปัญหาซึ่งจะนำไปสู่แนวทางการตัดสินใจที่ดีของทีม ดังนั้นทีมงานที่มีประสิทธิภาพจะมีลักษณะที่มีระดับความขัดแย้งที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป
5. การกินแรงเพื่อน (Social Loafing) ที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้ว่าสมาชิกบางคนสามารถแอบแฝง/ซ่อนเร้นอยู่ภายในกลุ่มได้ เขาจะมีพฤติกรรมกินแรงเพื่อนและพยายามอยู่ภายในกลุ่มโดยไม่ทำงาน ทีมงานที่มีประสิทธิภาพมีแนวโน้มที่จะให้การยอมรับนับถือซึ่งกันและกันทั้งระดับรายบุคคลและทีม สมาชิกจะมีส่วนร่วมในการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และหลักการร่วมกัน สมาชิกจะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรและมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง ฉะนั้นพฤติกรรมการกินแรงเพื่อนจะไม่เกิด

อ้างอิง : i-kool.2544.เทคนิคการสร้างทีมงานที่ดี. [online]. Available :
URL : http://www.jobs.i-kool.com/humanresource/form.asp?headid=HR&id=4
วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เกร็ด 10 ประการในการปรับปรุงงาน

1.เลิกยึดติดกับความคิดแบบเดิมๆ
2.หยุดหาข้ออ้าง ให้คิดเสมอว่าปัจจุบันยังไม่ดีพอ
3.คิดเสมอว่า “เราจะทำอย่างไร” ดีกว่ามาเสียเวลาอธิบายว่า “ทำไม่ถึงทำไม่ได้”
4.อย่าคาดหวัง 100% จงทำงานให้สำเร็จ แม้ว่าจะได้รับผลเพียง 50%
5.แก้ไขข้อผิดพลาดทันทีที่พบเห็น
6.ควรใช้เงินอย่างคุ้มค่า สำหรับการปรับปรุงงาน
7.ความคิดดีๆจะไม่เกิดขึ้น หากไม่พบความลำบาก
8.ค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ด้วยการถามย้ำว่า”ทำไม” 5 ครั้ง
9.สิบหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว นี่คือ SGA
10.เป้าหมายความสำเร็จ สามารถเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีขีดจำกัด

ผู้นำคลื่นลูกใหม่

หากจะถามถึงความหมายของ “ผู้นำ” ต่างคน อาจจะให้ความหมายที่ต่างๆกันไป ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า “ผู้นำ” คือ ผู้ที่มองเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็น คิดในสิ่งที่ผู้อื่นคิดไม่ถึง ศรัทธาในความคิดของตนในอันที่จะเปลี่ยนแปลง พัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น ลงมือทำในสิ่งที่ตนศรัทธาอย่างมุ่งมั่น ให้สำเร็จลุล่วง ด้วยตัวเอง เป็นตัวอย่างให้ผู้คนในองค์กรได้เห็นดีด้วย และทำตาม นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น ตามนิยามนี้ “ผู้นำ” จึงต่างจาก “ผู้บริหาร” ตรงที่ “ผู้นำ” นำคนด้วยศรัทธา ส่วน “ผู้บริหาร” นำคนด้วยอำนาจบังคับบัญชา ผู้ใดจะเป็นผู้บริหารที่ดีได้ ผู้นั้นจะต้องมีภาวะผู้นำอยู่ในตัว และผู้นำใช่ว่าจะพบเห็นได้แต่เฉพาะบุคลากรในระดับผู้บริหาร แต่ผู้นำสามารถมีอยู่ได้ในทุกระดับสังคม ทุกชั้นชน ตามนิยามที่กล่าวข้างต้น ผู้นำจึงมีบทบาทต่อองค์กร หรือสังคมอย่างมาก องค์กรใด หรือ สังคมใด จะดำรงอยู่ด้วยความมั่นคงสถาพร และดำเนินกิจการงานใดๆได้ด้วยความเจริญรุ่งเรือง ผ่านพ้นอุปสรรค วิกฤติไปได้นั้น ต้องมีผู้นำที่ดี มีความสามารถ และมีคุณธรรม อันจะเห็นได้จากผู้นำประเทศต่างๆในประวัติศาสตร์ ประเทศที่มีผู้นำที่ดี ก็สามารถนำประเทศไปสู่ความเจริญวัฒนาผาสุข แต่ผู้นำที่เลว ก็นำประเทศสู่ความหายนะ ตกต่ำล่มสลาย ลักษณะของผู้นำที่ดีเป็นอย่างไร จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจศึกษา การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาวะผู้นำ มีนักวิจัยหลายท่านที่ได้ทำการศึกษาเรื่องภาวะผู้นำ ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มงานวิจัยตามลักษณะแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับผู้นำได้เป็น 4 กลุ่ม กล่าวคือ 1. กลุ่มทฤษฎีลักษณะเด่นของผู้นำ เน้นศึกษาที่คุณลักษณะส่วนตัวของผู้นำ 2. กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นำ เน้นศึกษาที่พฤติกรรมของผู้นำต่อผู้ตาม 3. กลุ่มทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ เน้นศึกษาที่ความเหมาะสมระหว่างพฤติกรรมของผู้นำต่อสถานการณ์ 4. กลุ่มทฤษฎีผู้นำการเปลี่ยนแปลง เน้นศึกษาที่คุณภาพของผู้นำในด้านการสร้างวิสัยทัศน์ การสร้างแรงบันดาลใจ และการสร้างพลังให้เกิดในผู้ตาม กลุ่มที่ 1 กลุ่มทฤษฎีลักษณะเด่นของผู้นำ (Leadership Traits) มีแนวคิดศึกษาวิจัยโดยสังเกตดูลักษณะเด่นอะไรบ้างของคนที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มว่าเป็นผู้นำ ผลจากการวิจัยต่างๆพบว่าลักษณะเด่นของผู้ที่เป็นผู้นำจะมีดังนี้ - มีพลัง ความมุ่งมั่นสูง - มีความเชื่อมั่นในตนเอง - มีความคิดสร้างสรรค์ - มีความคิด สติปัญญาเฉียบคม - มีความรู้ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรเป็นอย่างดี (ถ้าเป็นองค์กรธุรกิจ ก็จะรู้ดีในเรื่องธุรกิจ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับตน) - มีความสามารถในการจูงใจคน - มีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ - มีความซื่อสัตย์และโปร่งใส กลุ่มที่ 2 กลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นำ (Leadership Behaviors) มีแนวคิดว่าการกระทำ หรือพฤติกรรม เป็นสิ่งที่สำคัญควรได้รับการศึกษา มากกว่าการศึกษาในสิ่งที่ผู้นำเป็น หรือในลักษณะของผู้นำ คำถามที่สำคัญในการวิจัยศึกษาภาวะผู้นำในกลุ่มนี้คือ พฤติกรรมที่ดี หรือพฤติกรรมแห่งความสำเร็จของผู้นำมีอะไรบ้าง ซึ่งพฤติกรรมของผู้นำเหล่านี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ พฤติกรรมที่มุ่งเน้นประเด็นที่เกี่ยวกับงาน (Task-related Issues) และพฤติกรรมที่มุ่งเน้นประเด็นที่เกี่ยวกับคน (People-related Issues) พฤติกรรมที่มุ่งเน้นประเด็นที่เกี่ยวกับงาน ครอบคลุมในเรื่องการบริหารจัดการต่างๆ เช่น การวางแผน การจัดรูปองค์กร และการอำนวยการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ตามมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร เป็นต้น ส่วนพฤติกรรมที่มุ่งเน้นประเด็นที่เกี่ยวกับคนนั้น หมายรวมถึงพฤติกรรมที่ผู้นำสร้างความสัมพันธ์อันดี ความเชื่อถือ ไว้วางใจซึ่งกันและกัน (mutual trust) ให้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ตาม การรับฟังความคิดเห็นของผู้ตาม ความห่วงใยในความรู้สึกของพวกเขา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความสามารถของผู้นำในการบริหารคนนั้นเอง พฤติกรรมใน 2 กลุ่มดังที่กล่าวข้างต้น อาจมองได้เป็น 2 มิติของพฤติกรรมผู้นำ มิติที่เกี่ยวกับการบริหารงาน หรือการมุ่งเน้นงาน และมิติที่เกี่ยวกับการบริหารคน หรือการมุ่งเน้นคน ซึ่งบนพื้นฐานของมิติทั้งสองนี้ นักวิจัยศึกษาภาวะผู้นำในกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมผู้นำนี้ได้จำแนกผู้นำโดยใช้เมตริกซ์ 2 มิตินี้ ที่เรียกว่า “ตะแกรงการจัดการ” (หรือ Managerial Grid; ผู้พัฒนาเครื่องมือนี้คือ Robert Blake และ Jane Srygley Mouton จาก มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา) ซึ่งสามารถจำแนกผู้นำเป็น 7 แบบหลักดังนี้ 1. ผู้นำสู่ความถดถอย (Impoverished Leader) เป็นผู้นำที่ไม่ให้ความสนใจกับทั้งงาน และคน มักจะปล่อยให้กลุ่มตัดสินใจกันเอง และแสดงความสนใจแต่เพียงเล็กน้อยในกระบวนการทำงาน หรือผลลัพธ์ 2. ผู้นำใช้อำนาจหน้าที่-การสนองตอบ (Authority-Compliance Leader) เป็นผู้นำที่แสดงความสนใจในงานสูง แต่ไม่ค่อยให้ความสนใจในด้านคน มักจะตัดสินใจในเรื่องต่างๆด้วยตนเองทั้งหมด บัญชาการลูกน้อง โดยคาดหวังว่าลูกน้องจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด 3. ผู้นำสโมสรกีฬา-สังคม (Country Club Leader) เป็นผู้นำที่แสดงความสนใจเอาใจใส่ในเรื่องของคนอย่างยิ่ง แต่ไม่สนใจในเรื่องงานเท่าใด เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี อบอุ่น หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และแสวงหาความประสานสอดคล้องของคนในกลุ่มในการตัดสินใจ 4. ผู้นำใช้พระเดชพระคุณ (Paternalistic Leader) เป็นผู้นำที่ผสมผสานกันระหว่าง ผู้นำแบบที่ 2 และ 3 กล่าวคือ ใช้ตัวตน หรืออัตตาเป็นที่ตั้ง ยึดมั่นในประสบการณ์ของตนเป็นสำคัญ มุ่งหวังให้ลูกน้องทำงานให้ เชื่อถือ และรับฟังตน ด้วยความเคารพยำเกรง 5. ผู้นำรักษาสมดุลย์ (Middle-of-the-Road Leader) เป็นผู้นำประเภทไม่ยอมผูกมัดตัวเองกับเรื่องใดๆ แต่จะเน้นการรักษาสมดุลย์ระหว่างคนกับงาน ไม่เน้นการดำเนินการที่เป็นเลิศ เพียงแค่การดำเนินการที่อยู่ในขั้นดีพอใช้ก็พึงพอใจแล้ว 6. ผู้นำทีมงาน (Team Leader) เป็นผู้นำที่เชื่อในความสำเร็จของการดำเนินงานที่เป็นเลิศ และดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายโดยการสร้างทีมงานที่ประกอบด้วยสมาชิกที่ยอมผูกมัดตัวเองกับความสำเร็จขององค์กร มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน พึ่งพาอาศัยกัน เคารพและไว้วางใจซึ่งกันและกัน 7. ผู้นำนักแสวงหาโอกาส (Opportunistic Leader) เป็นผู้นำที่มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน สามารถปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ และพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ เพื่อความสำเร็จส่วนตัว ผู้นำในลักษณะนี้เป็นผู้นำแบบนักการเมืองบางคนที่ยึดถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้งมากกว่าอุดมการณ์ ในบรรดาผู้นำแบบต่างๆนี้ ผู้นำแบบไหนเป็นผู้นำที่ดี ที่เหมาะสม เราอาจจะเห็นว่าผู้นำแบบที่ 1 ไม่น่าจะเป็นผู้นำที่เหมาะสมเลย ไม่ว่าจะกับลักษณะการดำเนินงานองค์กรใดๆ ส่วนผู้นำแบบที่ 7 ก็ออกจะเป็นผู้นำที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวแบบนักการเมืองบางคน จึงเป็นผู้นำที่ไม่ดี สำหรับผู้นำแบบอื่นๆน่าจะมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน จึงเหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อม หรือสถานการณ์ที่ต่างกัน กลุ่มที่ 3 กลุ่มทฤษฎีผู้นำตามสถานการณ์ (Situational Leadership) มีแนวคิดว่าภาวะผู้นำที่ดีนั้นผู้นำจะต้องมีพฤติกรรม หรือมีรูปแบบการบริหารที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ปัจจัย หรือตัวแปรที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น สถานภาพความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับกลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชา ลักษณะโครงสร้างของงาน อำนาจตามหน้าที่ของผู้นำ และความพร้อมในด้านความสามารถ และประสบการณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชาในการดำเนินงาน เป็นต้น ผลจากการศึกษาวิจัยในกลุ่มทฤษฎีนี้ได้เป็นข้อเสนอแนะในเรื่องของพฤติกรรมผู้นำที่เหมาะสมให้ประสบผลสำเร็จในการดำเนินงานในสถานการณ์ต่างๆ เช่น - ในสถานการณ์ที่ลูกน้องมีความพร้อมในการดำเนินงานต่ำมาก คือไม่เก่ง และขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้นำควรให้ทิศทางในการดำเนินงานที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง มอบงานที่ไม่ยากเกินความสามารถให้ลูกน้องทำ และกำกับดูแลการทำงานอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการบริหารงานแบบมุ่งงาน - ในสถานการณ์ที่ลูกน้องมีความพร้อมต่ำ แต่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้นำควรเพียงแค่อธิบายทิศทางการดำเนินงานที่ชัดเจน และสร้างบรรยากาศในการเอื้ออำนวยและสนับสนุนการทำงาน พร้อมติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการบริหารแบบมุ่งงาน และมุ่งความสัมพันธ์ในทีมงานควบคู่กันไป - ในสถานการณ์ที่ลูกน้องเก่ง แต่ไม่เต็มใจ หรือขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้นำควรเน้นให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกันคิดตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดทิศทางการดำเนินงาน และให้อิสระในการทำงาน ซึ่งเป็นการบริหารงานแบบมุ่งเน้นความสัมพันธ์ในทีมมาก - ในสถานการณ์ที่ลูกน้องเก่งและเต็มใจในการทำงาน ผู้นำไว้วางใจให้กลุ่มได้ตัดสินใจ และมอบหมายความรับผิดชอบให้ดำเนินงานอย่างอิสระ โดยติดตามการทำงานเป็นระยะ เป็นต้น ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ต่างๆนี้อาจแบ่งเป็นประเภทได้เป็น ภาวะผู้นำแบบชี้นำ (Directive Leadership) ภาวะผู้นำแบบสนับสนุน (Supportive Leadership) ภาวะผู้นำแบบมุ่งความสำเร็จ (Achievement-Oriented Leadership) และภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม (Participative Leadership) ผู้นำที่เก่งต้องรู้ว่าเมื่อใด ในสถานการณ์เช่นใดจึงจะนำทีม กลุ่มที่ 4 กลุ่มทฤษฎีผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Leadership) ภาวะผู้นำที่ได้กล่าวมาตั้งแต่กลุ่มที่ 1 ถึง 4 จะเน้นบทบาทผู้นำในการจูงใจลูกน้องในขั้นปฏิบัติงาน หรืออาจเรียกว่าเป็นผู้นำการปฏิบัติ (Transactional Leaders) แต่การปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพอย่างเดียวไม่พอ องค์กรปัจจุบันต้องมีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับการดำเนินงานขององค์กรให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่สูงขึ้น ดังนั้นผู้นำที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคคลในองค์กรจำนวนมากได้ดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถ และยกระดับการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น เพื่อเป็นการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาองค์กรให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่สูงขึ้น จะเรียกว่าผู้นำการปฏิรูป (Transformational Leaders) ซึ่งมีนักวิจัยได้ทำการศึกษารวบรวมคุณสมบัติพิเศษของผู้นำการปฏิรูปได้ 6 ประการ ดังนี้ - วิสัยทัศน์ (vision) คือมีความคิดและความสามารถในการหยั่งรู้ทิศทาง สร้างวิสัยทัศน์องค์กร และสื่อความหมายของวิสัยทัศน์สู่ผู้ใต้บังคับบัญชา สู่การปฏิบัติ - คาริสมา (charisma) คือความเก่ง ดี มีเสน่ห์ของผู้นำ ที่สามารถจูงใจคน ให้เกิดความกระตือรือร้น ศรัทธา ในการที่จะร่วมทำงานด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่ - การแสดงนัยของความเป็นเลิศ (symbolism) คือการจัดการค้นหาบุคคลที่ดีเด่น และให้รางวัล เพื่อเป็นการจูงใจให้มุ่งมั่น ทำงานด้วยความเป็นเลิศ - การเอื้ออำนาจ (empowerment) คือมอบหมายงานที่ท้าทายให้ผู้ใต้บังคับบัญชาความรับผิดชอบดำเนินงานเพื่อให้โอกาสได้พัฒนาตนเอง โดยผู้นำเฝ้าติดตาม สนับสนุน อำนวยความสะดวก - การกระตุ้นภูมิปัญญาให้เกิดขึ้น (intellectual stimulation) คือกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เรียนรู้ในงานอย่างถ่องแท้จากการที่ใส่ใจในการทำงาน คิดแก้ไขปรับปรุงงานอยู่ตลอดเวลา จนเกิดเป็นความเชี่ยวชาญในงาน และเกิดเป็นภูมิปัญญา - ความสัตย์ซื่อถือมั่น (Integrity) คือมีความซื่อสัตย์ น่าเชื่อถือไว้วางใจ การศึกษาวิจัยเรื่องภาวะผู้นำดังได้กล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นและเข้าใจถึงภาวะผู้นำ เริ่มตั้งแต่ลักษณะของผู้นำ ซึ่งเป็นลักษณะภายในตัวผู้นำ ตลอดจนพฤติกรรมของผู้นำ ซึ่งเป็นการกระทำของผู้นำต่อปัจจัยภายนอก คืองานและคน จากนั้นยังสะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้นำที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานะการณ์รอบด้าน จนถึงภาวะผู้นำ ที่นำการเปลี่ยนแปลงองค์กร เพื่อปฏิรูปยกระดับการดำเนินการขององค์กรให้มีขีดความสามารถทางการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งเราอาจจะมองทั้งหมดนี้เป็นกรอบของการศึกษาในเรื่องของภาวะผู้นำ โดยกรอบการศึกษานี้สามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษา และฝึกตนเอง เพื่อพัฒนาภาวะผู้นำในตนเอง กรอบการศึกษา และพัฒนาภาวะผู้นำในตนเอง จากความรู้ทางทฤษฎีภาวะผู้นำ ร่วมกับนิยามของผู้นำในความคิดของข้าพเจ้า ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ข้าพเจ้าได้พัฒนากรอบการศึกษาภาวะผู้นำ และการฝึกพัฒนาภาวะผู้นำด้วยตัวเอง กรอบการศึกษาฯนี้จะสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการศึกษาและพัฒนาภาวะผู้นำให้เกิดขึ้นในตนเอง ซึ่งกรอบการศึกษาพัฒนาฯนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรก เริ่มต้นด้วยการพัฒนาลักษณะเด่นผู้นำให้เกิดขึ้นในตนเอง นั้นคือการพัฒนาให้เป็นคนที่เก่ง ดี และมีเสน่ห์ คำว่า “เก่ง” หมายถึง การพัฒนาให้ตนเป็นผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในรอบด้าน รู้จักคิด รู้จักสร้างสรรค์ รู้เท่าทันเหตุการณ์ รอบคอบ เป็นนักปฏิบัติ เป็นนักแก้ปัญหาที่ชาญฉลาด ใฝ่รู้ และบริหารเวลาเป็น คำว่า “ดี” หมายถึงการพัฒนาตนเองให้ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดี เป็นผู้บริสุทธิพร้อมซึ่งกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะการฝึกจิตให้เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม สัตย์ซื่อ สุตริจ ยุติธรรม ส่วนคำว่า “เสน่ห์” หมายถึงการฝึกตนให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีร่างกายที่แข็งแรง มีความสง่างาม อ่อนน้อมถ่อมตน มีวาทะศิลป์ เป็นต้นการสร้างลักษณะผู้นำให้เกิดแก่ตน เป็นการพัฒนาตนจากภายใน ให้เกิดลักษณะเด่นของผู้นำทั้ง 3 มิตินี้ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับผู้นำในการที่จะดำเนินชีวิตให้ประสบกับความสำเร็จทั้งในเป้าหมายชีวิตส่วนตัว และเป้าหมายขององค์กร สำหรับส่วนที่ 2 ของกรอบการศึกษาพัฒนาภาวะผู้นำเป็นส่วนที่มุ่งเน้นการกระทำ หรือพฤติกรรมของผู้นำที่มีต่อองค์ประกอบภายนอก กล่าวคือเป็นการพัฒนาความสามารถของผู้นำในการบริหารงาน และบริหารคน ทั้งนี้ผู้นำเป็นผู้ที่จะต้องนำกลุ่มคน ไม่ว่าจะเป็นองค์กร หรือชุมชน หรือสังคม ให้ดำเนินงานให้เกิดการพัฒนา เปลี่ยนแปลง ไปในทางที่ดีขึ้น ลักษณะและวิธีการในการดำเนินงานนี้มีมิติของ “งาน” และ “คน” รูปแบบการบริหารงาน หรือพฤติกรรมของผู้นำที่มีต่อทั้ง 2 มิตินี้ เป็นส่วนสำคัญของภาวะผู้นำ สำหรับมิติด้าน “งาน” นั้น ผู้นำจะต้องสามารถสร้างวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล วางแผนกลยุทธ์ได้แยบยล สามารถบริหารทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินงานสำฤทธิ์ผล และบรรลุวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ส่วนมิติด้าน “คน” นั้น “คน” ในที่นี้ ไม่ใช่หมายเพียงถึง ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกน้องเท่านั้น แต่รวมถึง เพื่อนร่วมงานที่อยู่ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร เพื่อนที่เป็นผู้นำ ตลอดจนผู้บังคับบัญชา หรือเจ้านายที่เหนือเราขึ้นไป เนื่องจาก “คน” เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนองค์กร หรือสังคม การบริหารคนต้องบริหารที่ใจ ผู้นำจะต้องมองคนเป็น และใช้คนให้เป็น และเลี้ยงคนให้เป็น รู้จักเอาใจเขา ใส่ใจเรา รู้จักศิลปะในการจูงใจคน รู้จักชนะใจคน สร้างความศรัทธา รู้จักการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง สร้างทีมผู้นำ เพราะการนำการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถทำได้เพียงคนเดียว การบริหารมิติทั้ง 2 นี้ต้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และสภาพแวดล้อมที่เป็นไป ผู้นำอาจจะมุ่งเน้นงานมากในบางสถานการณ์ หรืออาจจะมุ่งเน้นที่คนมากสำหรับสถานการณ์ที่ต่างกัน ดุลยพินิจของผู้นำในรูปแบบการบริหาร โดยยึดหลักความเหมาะสม หรือสมดุลย์เป็นหลัก เป็นสิ่งที่ผู้นำจะต้องฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดเป็นประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในที่สุด สิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งคือ การตั้งเป้าหมายชีวิตของตัวผู้นำเอง และวิสัยทัศน์ขององค์กร (หรือของสังคม) ที่ผู้นำสร้างขึ้น ควรสอดคล้อง และส่งเสริมซึ่งกันและกัน ถ้าวิสัยทัศน์องค์กรไม่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของผู้นำ ตัวผู้นำเองอาจจะไม่มีแรงบันดาลใจในการนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าผู้นำวางวิสัยทัศน์องค์กรให้เอื้อกับเป้าหมายส่วนตัวเป็นประโยชน์ส่วนตน ก็จะเป็นผู้นำที่ไร้คุณธรรม ซึ่งจะนำมาสู่ความล่มสลายขององค์กร และสังคม จึงควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จะเห็นว่าถ้ามองภาพกรอบการศึกษาพัฒนาฯนี้ในภาพรวมใหญ่แล้ว ก็คือกรอบของการ “ครองตน” “ครองคน” และ “ครองงาน” นั้นเอง แผนภูมิต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงกรอบการศึกษาพัฒนาภาวะผู้นำดังที่บรรยายข้างต้น วิสัยทัศน์องค์กร ตัวผู้นำ งาน คน เป้าหมายส่วนบุคคลของผู้นำ เก่ง ดี มีเสน่ห์


แผนภูมิแสดง กรอบการศึกษพัฒนาภาวะผู้นำในตนเอง รายการหนังสือใช้อ้างอิง และศึกษาเพิ่มเติมในการพัฒนาภาวะผู้นำ

1. ภาวะผู้นำ: พลังขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศ โดย รศ.นิตย์ สัมมาพันธ์ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ เมษายน 2546 2. คู่มือพัฒนาตนเอง และพัฒนาภาวะผู้นำ โดย วิทยากร เชียงกูล สำนักพิมพ์สายธาร ตุลาคม 2547 3. อุปนิสัยที่ 8 จากประสิทธิผลสู่ความยิ่งใหญ่ โดย Stephen R. Covey เรียบเรียงโดย ดนัย จันทร์เจ้าฉาย สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี มีนาคม 2548 4. The Entrepreneurial Mindset, Rita Gunther McGrath and Ian MacMillan, Harvard Business School Press, 2000. 5. Changing Minds: The Art and Science of Changing Our Own and Other People’s Minds, Howard Gardner, Harvard Business School Press, 2004

20 เทคนิคบันไดสู่ความเป็นผู้นำ

1.ต้องรู้จักตนเองเป็นอย่างดี
ผู้นำที่ดีจำเป็นต้องรู้จักตนเอง รู้ว่าผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชามีความคาดหวังอะไร และคิดอย่างไรกับตนเอง ผู้นำที่พยายามสอบถามข้อมูลป้อนกลับในการทำงานตนจากแหล่งต่างๆจะเป็นผู้ที่เข้าใจและสามารถปรับปรุงพฤติกรรมต่างๆ ของตนเองและจะกลายเป็นผู้นำที่ดีในที่สุด
2.พัฒนาจิตใจให้เข้มแข็ง
ผู้นำที่ดีต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง เมื่อทำผิดหรือเกิดความผิดพลาดขึ้นก็ต้องยอมรับในความเป็นจริง เพราะแม้แต่ผู้นำที่ดีที่สุดก็เคยทำผิดพลาด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ผู้นำที่ดีจะเผชิญหน้ากับความผิดพลาดในครั้งนั้น และแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นโดยเร็วที่สุดพร้อมกับหาหนทางป้องกันไม่ไห้เกิดการผิดพลาดซ้ำขึ้นอีก
3.ต้องใจกว้างและไม่เห็นแก่ตัว
การที่จะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องรู้จักใช้อำนาจอย่างถูกวิธี รู้วิธีในการกระจายอำนาจของตนให้แก่ผู้อื่นรวมถึงให้เวลาในการทำงานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองด้วย
4.ฟังให้เป็น...เป็นผู้ฟังที่ดี
โดยปกติแล้วผู้นำส่วนใหญ่มักจะคิดว่า “ตนจะพูดอะไรต่อไป” มากกว่า “ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ (Deep Lisining)” ซึ่งนั้นจะทำให้ผู้นำไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีและมีศักยภาพได้ เพราะ “การฟัง” แตกต่างจาก “การได้ยิน” ดังนั้น ทักษะที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งของผู้นำคือ ฟังอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้นำจะต้องพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ฟังจับประเด็นในสิ่งที่ฟังให้ดีและให้ถูกจุดนอกจากนั้นต้องไม่ขัดจังหวะในขณะที่ผู้อื่นกำลังพูดอยู่
5.เชื่อในสัญชาตญาณของตน
เมื่อผู้นำรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลหรือมีอะไรทำให้รู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ ผู้นำต้องเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง หยุดแล้วลองย้อนกลับมาดูในเรื่องที่กังวลนั้นอย่างใส่ใจเพื่อความสมบูรณ์ถูกต้อง สัญชาตญาณของผู้นำนับเป็นสิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างประสบการณ์และทักษะความรู้ของตัวผู้นำ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่สัญชาตญาณของผู้นำช่วยให้องค์กรผ่านพ้นวิกฤตไปได้


6.เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด
ผู้นำที่ดีต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดมากกว่ายึดติดกับความสำเร็จของตนในอดีต เพราะนี่คือสิ่งที่ผู้นำควรต้องเรียนรู้เพื่อไม่ก่อให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำ
7.รู้จักเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ
ผู้นำจะต้องเปิดรับผู้ที่เสนอแนวคิดใหม่ๆ ให้แก่องค์กร เพราะแนวคิดของคนเหล่านี้จะนำความก้าวหน้ามาสู่องค์กรหรือหน่วยงานได้อย่างแท้จริง ในปัจจุบันสิ่งที่องค์กรต้องการคือความคิดดีๆจากพนักงาน มีคนเคยกล่าวไว้ว่าใน 50 ความคิด ถ้ามีเพียง 1 ความคิดที่สามารถนำมาต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้กับองค์กรหรือหน่วยงานได้ก็นับได้ว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว
8.ต้องมีความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว
โดยปกติผู้นำในระดับสูงที่มีศักยภาพที่ดีต้องการข้อมูลที่จำเป็นและสำคัญเพียงแค่ 60% เท่านั้น ก็เพียงพอต่อการตัดสินใจอย่างรอบคอบของเขา ดังนั้นการตัดสินใจโดยที่ต้องใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจมากเกินไปไม่ได้หมายความว่าเป็นการตัดสินในที่ดีและถูกต้องเสมอไป ซึ่งในทางกลับกันนั่นอาจจะทำให้การตัดสินใจล่าช้าและไม่ทันการณ์ก็เป็นได้
9.กล้าหาญ
มีผู้นำมากมายที่ไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือควรทำ ไม่กล้าแม้แต่จะคัดค้านผู้อื่นในสิ่งที่รู้ว่าผิด ผู้นำที่มีศักยภาพต้องมีความกล้า กล้าพูด กล้าตัดสินใจ ต้องเป็นคนนำเสนอแนวคิด และกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงความคิด รวมทั้งกล้าจะรับผิด และกล้าที่จะลงโทษผู้กระทำผิด
10.ยืนหยัดรับคำวิจารณ์
ต้องยอมรับคำวิจารณ์ ผู้นำต้องเข้าใจว่า คำวิจารณ์เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้นในองค์กร เงยหน้ารับคำวิจารณ์และหลีกเลี่ยงการต่อต้านหรือปกป้องตนเองจากคำวิจารณ์เหล่านั้น ต้องไม่คิดเครียดแค้นหรือแก้แค้นเพื่อตอบโต้กับผู้ที่มาวิจารณ์ เพราะจะส่งผลเสียต่อผลการปฏิบัติงานทางที่ดีควรปรับทัศนคติโดยคิดว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นเป็นการติเพื่อก่อแล้วนำปรับปรุงพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
11.ปฏิบัติงานโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน
ผู้นำไม่ว่าจะอยู่ในระดับใดต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ต้องตั้งเป้าหมายในระยะยาว เพื่อสร้างแนวทางการดำเนินงานให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาและหน่วยงานหรือองค์กรของตน เพราะไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนทำงานในระดับใดย่อมต้องการที่จะทราบว่าพวกเขากำลังทำอะไร กำลังเดินไปในทิศทางใด และทำไปเพื่อเป้าหมายหรือผลลัพธ์ใด
12.อย่าทำให้ผู้อื่นเสียเวลาโดยไร้ประโยชน์
โดยปกติแล้วสิ่งที่ผู้นำควรใส่ใจเป็นอันดับต้นๆ คือ ต้องคำนึงว่านโยบายที่ออกมาจากผู้นำนั้นต้องไม่เป็นสิ่งที่ทำให้ขั้นตอนการทำงานเพิ่มขึ้นหรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่คุ้มค่ากับสิ่งที่ลงมือไป ดังนั้นในระหว่างการทำงานผู้นำควรใส่ใจที่จะถามคำถามกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนว่า “มีนโยบายหรือขั้นตอนที่ผม/ดิฉันกำหนดมาและทำให้พวกคุณเสียเวลาหรือทำงานล่าช้าลงไปหรือไม่” ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใต้บังคับบัญชาส่วนใหญ่คงไม่กล้าที่จะตอบคำถามนี้ แต่หากมีเพียงสักคนที่ตอบคำถามด้วยความจริงใจนั่นจะเป็นเสมือนแนวทางที่ช่วยให้ผู้นำสามารถเรียนรู้และเติบโตเพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำที่ดีได้ต่อไป
13.ให้ความสำคัญกับทุกคนที่ทำงานเพื่อเรา
ผู้นำจำเป็นต้องให้ความใส่ใจกับทีมงานทุกคน ต้องรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดบ้างที่เป็นผู้สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้น และเลือกที่จะยกย่องชื่นชมพวกเขาอย่างจริงใจ อย่าละเลยคนที่ทำงานปิดทองหลังพระ
14.อย่าส่งสัญญาณว่า “กำลังไม่ไว้ใจ”
ผู้นำที่ชอบพูดว่า “ผม/ดิฉันไม่ต้องการเรื่องเซอร์ไพรส์” หรือ “แจ้งให้ผม/ดิฉันทราบก่อนที่คุณจะลงมือทำอะไร” หรือ “ในช่วงที่ผม/ดิฉันไปพักร้อน ผม/ดิฉันจะโทรหาคุณทุกเช้าเพื่อจะได้ทราบความเคลื่อนไหวของงานที่คุณทำ” คำพูดต่างๆเหล่านี้กำลังทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณรู้สึกว่า “ผู้นำกำลังไม่ไว้ใจในศักยภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอยู่” ข้อความเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกับความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งทำให้พวกเขากังวล ขาดความมั่นใจในความสามารถของตนเอง และอาจส่งผลให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
15.ใส่ใจกับความล้มเหลว
ผู้นำส่วนใหญ่จะพยายามพูดถึงแต่ผลงานที่ประสบผลสำเร็จเพื่อทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกดีใจและชื่นชม ในขณะที่พยายามซ่อนหรือปกปิดปัญหาหรือข้อขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่พฤติกรรมที่ถูกต้องในการเป็นผู้นำที่ดี เพราะการซ่อนหรือปกปิดปัญหาอาจทำให้เกิดข้อขัดแย้งที่รุนแรงและนำมาซึ่งความล้มเหลวในการบริหารงานในอนาคตได้
16.พัฒนาทักษะการเป็นผู้นำให้แข็งแกร่ง
คุณไม่ควรหยุดการพัฒนาแม้แต่วินาทีเดียว การหยุดพัฒนาเปรียบเสมือนการก้าวถอยหลัง ดังนั้น ผู้นำที่ดีจึงควรที่จะพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ รวมถึงทักษะการจัดการและการบริหารงานใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ การที่จะเป็นผู้นำที่ดีได้นั้น คุณต้องเป็นผู้ที่สามารถบริหารเวลาได้ดี ต้องมีความรอบคอบ ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแม่ยำ และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุด
17.ทำความเข้าใจกันระหว่างผู้นำและผู้ใต้บังคับบัญชา
การเป็นผู้นำที่ดีคุณต้องเข้าใจสไตล์ที่แตกต่างกันของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน พร้อมทั้งปรับสไตล์ของตนเองให้เข้ากับผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละสไตล์ ในทางกลับกัน คุณต้องเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เรียนรู้และเข้าใจในตัวตนของคุณด้วยเช่นกัน คุณต้องบอกพวกเข้าในสิ่งสำคัญที่คุณเป็น รวมทั้งชี้แจงในสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้คุณชอบหรือไม่ชอบผู้ใต้บังคับบัญชาจำเป็นที่จะต้องเข้าใจและรู้จักตัวตนของผู้นำตั้งแต่เริ่มต้น

18.ต้องไม่มุ่งเน้นแต่เรื่องของผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว
ผลลัพธ์ที่ดีถือเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้นำที่ไม่ใส่ใจกับระบบขั้นตอนต่างๆ หรือแนวทางการปฏิบัติงานระหว่างทางเลยอาจจะนำมาซึ่งความผิดพลาดอันใหญ่หลวงได้ ดังนั้นผู้นำที่ดีควรจะให้ความสำคัญกับขั้นตอนหรือวิธีการดำเนินการในระหว่างทางอย่างสม่ำเสมอ หากเกิดปัญหาขึ้นจะได้สามารถแก้ไขได้ทันการณ์ ซึ่งแนวทางและขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ที่ดีให้อนาคตแล้วทีมงานของคุณจะรักในความจริงใจ และความตรงไปตรงมาของคุณ
19.รู้จักปล่อยวาง
มีผู้นำมากมายที่กังวลมากจนเกินไปและเคร่งเครียดตลอดเวลาเพื่อที่จะทำให้ได้ผลงานที่ดีและเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชา พวกเขาไม่เคยคิดที่จะปล่อยวาง ซึ่งสิ่งนี้มักจะทำให้เกิดบรรยากาศในการทำงานที่ตึงเครียดซึ่งจะส่งผลโดยตรงไปยังบุคคลรอบข้างและผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นำที่ดีสามารถแสดงความโกรธและความเครียดได้บ้างเป็นครั้งคราว แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องสามารถควบคุมอารมณ์ของตนและปล่อยวางบ้างในเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่และความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้
20.ระวังเรื่องของ “การขู่” ผู้นำที่กระตุ้นผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยการขู่จะไม่สามารถเป็นผู้นำที่ดีได้ ไม่ว่าผู้นำจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตามการเป็นผู้นำที่ดีย่อมต้องสัมพันธ์กับการเป็นนักวางแผน นักการบริหาร นักจิตวิทยา และในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้สนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาที่ดีด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ผู้นำต้องหมั่นฝึกฝนและรู้จักพัฒนาตนให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงไปของสภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายใน เพื่อให้พร้อมสำหรับอนาคตของคุณ

บทความจาก GovLeaders.orgเรียบเรียงโดย กนกวรรณ แก้วฟ้า APM Groupประสานข้อมูลโดย กพร.ทบ.

11 ขั้นตอนกับการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผล

1. เตรียมผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน ก่อนประเมินผลการปฏิบัติงาน 1 สัปดาห์ บอกให้เขารับทราบล่วงหน้า เพื่อวิเคราะห์ตนเองอย่างถี่ถ้วนของผลการปฏิบัติงาน ในช่วงก่อนการประเมินผลงาน
2. ใช้เวลาประเมนผลอย่างน้อย 45 นาที
3. ในระยะเริ่มต้นการประเมินให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกสบาย ๆ การประเมินผลการปฏิบัติงานควรปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานอย่างดีที่สุด ลดปัญหาอุปสรรค หรือการปกป้องตนเองให้ทบทวนการปฏิบัติงานที่ได้ทำมาด้วยคำพูดง่าย ๆ
4. มุ่งเน้นในการประเมินผลการปฏิบัติงานและพฤติกรรม ตัดสินเฉพาะเรื่องบุคลิกภาพ ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานดี หรือไม่ดีอะไรต้องทราบชัดเจนอย่าลืมยกตัวอย่างให้ชัดเจน
5. อย่าเน้นระดับคะแนนตัวเลขในแบบฟอร์มมากนัก จะทำให้เพื่อนร่วมงานขยาดในตอนที่จะออกจากห้องคุณโดยใช้วิธีการสอนงาน 4 แบบ การให้คำปรึกษาและแผนเฉพาะในการพัฒนามีความสำคัญมากกว่าตัวเลขที่กรอกไว้ในแบบฟอร์มนั้น จงคุยและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของตัวเลขมากกว่าตัวเลขล้วน ๆ
6. ขอร้องให้เพื่อนร่วมงงงานรับรู้การปฏิบัติงานของเขาถ้าการรับรู้ของท่านกับการประเมินผลแตกต่างกัน ปัญหาก็คือจะต้องวินิจฉัยว่าทำไมอีก ขอร้องให้เพื่อนร่วมงานมีจุดมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติงานและพฤติกรรม (ไม่ใช่ความตั้งใจหรือความพยายาม)
7. เปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติงานกับมาตราฐานและความคาดหวัง ถ้าท่านไม่ได้กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานหรือความคาดหวัง ท่านต้องแก้ไขทันที ต้องแน่ใจว่าการประเมินผลได้มาตรฐานสำหรับโอกาสต่อไป
8. ต้องแน่ใจว่าเพื่อนร่วมงานใช้ภาษาเดียวกับท่านในการประเมินผล ขอร้องให้เพื่อนร่วมงานให้คำนิยามและตีความหมายในรูปแบบฟอร์มการประเมินถ้าท่านใช้แบบฟอร์มกับทุกคน
9. มีการสอนแนะนำและให้คำปรึกษาในการใช้แบบประเมินผล ท่านจะทำอะไรที่จะช่วยให้เพื่อนร่วมงานของท่านปฏิบัติงานได้ดีขึ้นในอนาคต
10. สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน พัฒนาแผนปฏิบัติการเพื่อลดปัญหาของการปฏิบัติงาน ท่านจะขจัดช่องว่างของพฤติกรรมที่เป็นอยู่กับพฤติกรรมที่คาดหวังได้อย่างไร อะไรที่เพื่อนร่วมงานมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไปเมื่อไร
11. สรุปการสัมภาษณ์ให้ชัด ทำความเข้าใจให้ตรงกัน เพื่อร่วมงานได้บอกท่านว่าได้ทำอะไรนั่นคือผลการประเมินและทำไมต้องทำเมื่อเสร็จกระบวนการก็ให้เพื่อนร่วมงานลงนามในแบบฟอร์มการประเมิน

9 วิธีในการสอนงาน

1. กำหนดเวลาและสถานที่ที่จะสอน ห่างจากสถานที่บันเทิงเริงรมณ์อย่าให้เขาดำเนินการกันเอง เราต้องจัดการให้เป็นขั้นตอน
2. คาดการณ์ ความรู้สึก ความต้องการ ความสนใจของผู้ร่วมงาน ให้นึกถึงตอนที่ท่านรับงานนึกถึงความรู้สึกและปัญหาต่าง ๆ ที่ท่านต้องทำความเข้าใจกับการสอนงานที่ซับซ้อนจากนายของท่าน
3. ขอร้องให้ผู้ร่วมงานบอกกับท่านว่า เขารู้อะไรเกี่ยวกับงานมาบ้างแล้ว เติมเต็มในช่องว่างในการสอนงานให้เข้าใจ
4. ให้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมใช้ภาษาให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงภาษากำกวมถ้าเป็นไปได้ พูดภาษาเดียวกันกับผู้ร่วมงานเพื่อความเข้าใจ
5. อย่าพูดมากเกินไปในสิ่งที่เห็นชัดแจ้ง พูดในสิ่งที่เขาไม่รู้ ไม่ใช่พูดในสิ่งที่เขาทำ
6. ถ้าเป็นไปได้ให้สาธิตการทำงาน แสดงให้เพื่อนร่วมงานดูว่าควรทำงานอย่างไร ถ้าไม่สามารถสาธิตได้ ต้องพยายามบรรยายให้เห็นภาพของงานอย่างสมบูรณ์หรือยกตัวอย่าง
7. ให้ผู้ร่วมงานทดลองทำดู สอนงานและให้คำปรึกษาพร้อมทั้งให้ข้อมูลป้อนกลับ ถ้าการปฏิบัติมีการผิดพลาดต้องบอกได้ว่าทำไมผิดพลาด และทำตัวอย่างให้ดู ถ้าเขาทำถูกก็ชมเชยเขา
8. ขอร้องให้เพื่อร่วมงานซักถามถ้าเขามีปัญหา ตอบคำถามอย่างสุภาพ อย่าดูถูกว่าเขาถามคำถามโง่ ๆ
9. บอกเพื่อนร่วมงานว่าท่านจะให้สิ่งอำนวยความสะดวกเมื่อมีปัญหาหรือมีคำถาม ท่านต้องทำตัวให้เพื่อนร่วมงานแน่ใจว่า สามารถพบได้ง่า ถึงแม้เพื่อนร่วมงานคนนั้นจะเป็นคนที่มีความละอาย หรือไม่เชื่อมั่นตนเองก็ตาม

หลักเกณฑ์ 10 ข้อ ในการมอบหมายงาน

1. ต้องแน่ใจผู้ใต้บังคับบัญชามีทักษะ มีความสามารถ ความสามารถพิเศษและสามารถที่จะทำงานได้
2. ให้ตรวจสอบกับเจ้านายของท่าน จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถึงแม้ท่านจะได้รับการอธิบายอย่างถี่ถ้วน นอกจากจะต้องแน่ใจว่า เจ้านายตกลงที่จะให้คุณเลิกความรับผิดชอบในเรื่องนั้น
3. อย่ามอบหมายงานที่ต่ำต้อย แต่ต้องเป็นงานที่สำคัญ ผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้เห็นว่าท่านมั่นใจในตัวเขา
4. มั่นใจว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจงานอย่างชัดเจน ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจว่า ท่านต้องการให้เขาทำงานนั้นให้สำเร็จ
5. ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานได้ มิใช่เพียงวิธีการของท่านเท่านั้นอย่างไรก็ตาม ถ้ามีกฎเกณฑ์หรือข้อจำกัดที่อาจจะต้องปฏิบัติตามท่านต้องแน่ใจว่าได้มีการสื่อสารกันอย่างดี
6. จัดหาให้มีทรัพยากรที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน ถ้าท่านมอบหมายงานจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นด้วย
7. ให้สิ่งอำนวยความสะดวก จัดให้มีเครือข่ายช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชา อย่ามีการตรวจตราอย่างเข้มงวดเกินไป
8. ถ้าผลงานดีก็ยกย่องเขา
9. ถ้าผลงานไม่ดี บอกวิธีการที่จะปรับปรุงให้ด้วย
10. มอบหมายงานให้บ่อยขึ้น ทุกคนก็จะชนะ

ยุทธวิธี 19 ประการสำหรับภาวะผู้นำที่ประสบความสำเร็จ

1. รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับนายของท่าน สัมพันธภาพที่ดีมีผลโดยตรงกับความสามารถของท่านที่จะสร้างความพอใจ และผูกใจผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นำที่มีความสามารถได้รับอำนาจจากนายของเขา
2. ทำตัวอย่างที่ดี ในสิ่งที่ท่านอยากให้ผู้ร่วมงานปฏิบัติ เช่น มีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ควบคุมอารมณ์ใช้ปัญญา กล้าตัดสินใจ ยีดหยุ่นมีเหตุผล กำหนดวัตถุประสงค์ ริเริ่ม กระตือรือร้น ท่านต้องให้มีคุณสมบัติเหล่านี้ ท่านต้องเป็นแบบอย่าง การเป็นแบบอย่างเป็นยุทธวิธีที่ดีมากสำหรับผู้นำที่มีความสามารถ
3. บอกความคาดหวังท่านชัดเจน ท่านคาดหวังอย่างไรกับผู้ร่วมงานที่เขาจะทำให้เกิดความพึงพอใจกับท่าน อย่าคิดเอาเองว่าเขาจะทราบไม่ต้องกลัวที่จะบอกเขาว่าท่านต้องการอะไร บอกเขาก่อนที่เขาจะทำงาน และเตือนเขาบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้
4. นัดประชุมเพื่อสร้างทีมให้เข้มแข็ง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดให้กลุ่มมุ่งเน้นที่เป้าหมาย
5. ให้รางวัลผู้ให้ความร่วมมือและทำงานหนัก ถ้าให้รางวัลเขาแล้ว เขาจะทำงานดีขึ้น
6. ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล และหาประโยชน์จากความแตกต่างเหล่านั้น
7. ให้คำชมบางคนที่ให้ความร่วมมือกับทีมดูวัตถุประสงค์ ความจริงใจ และความถี่ ท่านแน่ใจว่าเขาทำตามความคาดหวังของท่าน และสามารถปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
8. รับฟังผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงานจะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ ท่านจะได้รับความนับถือและไดรับความจริงใจมากขึ้น ท่านจะได้ทราบความเป็นไปในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น
9. เลือกบุคคลที่สามารถทำงานกันเป็นทีม ไม่มีการฝึกอบรมชนิดใดที่จะเปลี่ยนแปลงบุคลากรที่แปลกแยกจากทีมของท่านได้มากนัก ให้พิถีพิถันในการเลือกคน อย่าต้องมาจ่ายเงินเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งผิด ๆ ทิ้งไว้ให้คู่แข่งของท่านจะสวยกว่า
10. ร่วมกันกำหนดเป้าหมายทัศนภาพ สร้างแรงจูงใจ และเหตุผลต่าง ๆ ไม่ต้องบอกว่าเขาต้องทำอะไรในสถานการณ์ต่าง ๆ และให้เขาช่วยตัดสินใจในวิธีการที่ดีที่สุดในการที่จะทำให้บรรลุผลตามความต้องการต่าง ๆ เหล่านั้น
11. ยอมรับความผิดพลาด การยอมรับความผิดพลาดแสดงถึงความเข้มแข็งมากกว่าการแสดงความอ่อนแอ
12. อย่าให้คำมั่นสัญญาอะไรง่าย ๆ มีสองสิ่งที่จะเกิดขึ้น เวลาให้สัญญาไม่เป็นสิ่งที่ดีนัก นั่นก็คือ มีความคาดหวังให้เป็นไปตามสัญญา และถ้าไม่เป็นไปตามสัญญา มิตรภาพก็จะสลายไป
13. บริหารเวลาให้ดี ควรมีเวลาให้เพื่อนร่วมงานของท่านบ้าง
14. มอบหมายงานให้เหมาะสมกับคนสอดคล้องกับความต้องการขององค์กร สิ่งนี้เป็นคำตอบที่ดีสำหรับคำถามที่ว่า "ข้าพเจ้าจะจู.ใจลูกน้องได้อย่างไร"
15. ท่านต้องยอมรับค่าของคนตามความแตกต่างของบุคลากร ท่านก็คงทราบว่าสิ่งใดที่จะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้น คนอื่น ก็เช่นเดียวกับท่าน ทุกคนต้องการมีความรู้สึกว่าตนเองสำคัญ ถ้าท่านยกย่องเขา เขาก็ยกย่องท่าน
16. แก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างซื่อตรง และยุติธรรม ให้ตระหนักถึงสไตล์การแก้ปัญหาความขัดแย้งของท่าน เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
17. ให้ข้อมูลในการทำงานก่อนที่เขาจะทำงาน เพื่อนร่วมงานต้องการข้อมูลที่จำเป็นในการทำงาน เมื่อท่านมอบหมายงานท่านต้องให้ข้อมูลเขา
18. ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจากแรงกดดันของแต่ละวันบ้าง ท่านต้องมีเวลาคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้เป้าหมายบรรลุผล ควรจะวางแผนอย่างไร มิฉะนั้นท่านก็จะต้องต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ โอกาสที่ท่านจะประสบความสำเร็จยากมากต้องปล่อยวางบ้าง
19. อย่าเป็นคนที่เคร่งเครียดจนเกินไป ร่าเริงและเป็นกันเองกับลูกน้องบ้าง

ลักษณะของผู้ด้อยพัฒนา

นั่งอมสาก ฝากคารม จมไม่ลง ปลงไม่เป็น
ละเว้นหน้าที่ โจมตีเมื่อมีโอกาส
ฉลาดแกมโกง ประสงค์ต่อผล
กลยุทธล้ำลึก สำออยร้อยเล่ห์ จรเข้ขวางคลอง

คาถา ขัดขวางมนุษยสัมพันธ์

คิดมาก ปากโป้ง หลงตัวเอง เก่งนินทา ชอบยักท่า หน้างอเง้า เจ้าอารมณ์ มีปมด้อย ใจน้อยเหลือ เห็นแก่ตัว

Accountability

Dr. Henry Holmes ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่มีประสบการณ์อย่างช่ำชองในเรื่องของ Cross Cultural Management ในประเทศไทย
ถึงเรื่อง Accountability ในคู่มือวิชา Cross Cultural Management ของเขาไว้อย่างน่าสนใจ ผมเองได้มีโอกาสร่วมสอนให้กับบริษัท
Cross Cultural Management หลายครั้ง จึงของนำบทความที่เขาเขียนไว้ในเรื่องนี้มาให้ท่านอ่านประกอบดังนี้
คำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียง ความรับผิดชอบ ความพร้อมรับผิด การยึดถือได้ เชื่อมั่นได้ คำมั่นสัญญา และการไม่ปัดความ
ผิดให้พ้นจากตน
ACCOUNTABILITY เป็นกลุ่มพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกให้เห็นว่า ได้ยอมรับหน้าที่หนึ่งๆ และนำไปปฏิบัติด้วยความพร้อมที่จะรับ
ทั้งผิดและชอบ
บุคคลที่ได้รับมอบหมายงานหนึ่งๆจะถูกกำหนดให้มีความรับผิดชอบเป็นกรณีๆไป โดยมีการกำหนดขอบข่ายหน้าที่อย่างชัดเจน และ
เมื่อบุคคลนั้นรับปากยินยอมตามที่ตกลง ในวัฒนธรรมตะวันตกจะหมายความว่า เป็นการให้คำมั่นสัญญาออกไป หลังจากนั้นเมื่อถึงคราว
ปฏิบัติ ผลงานจะออกมาดีหรือไม่ อย่างไร จะอยู่ในขอบข่ายความรับผิดชอบของบุคคลนั้นๆทั้งหมด ชาวอังกฤษเรียกความรับผิดชอบนี้ว่า
“Stewardship” ซึ่งหมายถึงความรับผิดชอบการปฏิบัติงานตลอดจนผลลัพธ์ของงานที่บุคคลนั้นได้รับมอบหมาย และได้มอบหมายให้ผู้อื่น
กระทำด้วย
Accountability ครอบคลุมถึงการสื่อความ (Communication) บุคคลนั้นๆจะต้องรู้จักความรับผิดชอบและสำนึกเสมอว่าจะ


ของความรับผิดชอบมักจะรับปฏิบัติกันเป็นกลุ่มบุคคล ซึ่งแตกต่างกับแนวความคิดของตะวันตกที่ว่า
Accountability เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เมื่อบุคคลใดรับว่าจะทำงานอะไรแล้ว เขาจะต้องดูแลงานของตนโดยตลอดจนกระทั่งเสร็จสิ้น รวมไป
ทั้งการคอยควบคุมดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาของตนด้วย
ในการทำงานร่วมกัน หรือ เข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น ถ้าสมาชิกในสังคมนั้นๆมีพฤติกรรมความรับผิดชอบ (Accountability)
ช่วยให้สังคมนั้นๆไม่ต้องเผชิญกับความความไม่แน่นอน และความหัวเสียที่อาจเกิดขึ้น
คุณลักษณะของ Accountability ตัวอย่างทักษะ
รู้จักขอบเขตความรับผิดชอบของท่าน · พูดคุย ปรึกษาหัวหน้าถึงขอบข่ายงานอย่าง
เฉพาะเจาะจง โดยให้ระบุอย่างชัดเจนว่ามีความคาด
หวังจะให้ทำอะไร
· ตรวจดูว่างานที่สั่งมีความชัดเจน และครบถ้วน
วางแผนเพื่อปฏิบัติงาน · สร้างแผนปฏิบัติงานให้แน่ชัดและน่าวางใจ
· ชี้แจงแผนการทำงานให้นายและลูกน้องทราบ
ให้คำมั่นและมีพันธะผูกพันเพื่อดำเนินงานให้สำเร็จ · อย่าตอบรับจนกว่าจะแน่ใจว่าสามารถทำงาน
นั้นๆให้สำเร็จได้
· ตั้งใจแน่วแน่เพื่อให้บรรลุความสำเร็จ
ถ้าท่านเป็นผู้บังคับบัญชา ท่านต้องออกคำสั่งที่
ชัดเจนให้แก่ลูกน้อง
· ตรวจสอบดูว่าคำสั่งที่ให้ชัดเจนหรือไม่
แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบว่าเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้งานไม่สำเร็จตามที่มุ่งหวัง
ไม่ว่าจะเป็นในแง่ปริมาณ คุณภาพ เวลา หรือ กำลัง
คน
· เข้าไปหาผู้บังคับบัญชาโดยตรงทันที
· หลีกเลี่ยงการบอกกล่าวกะทันหัน
· หากมีข้อสงสัยว่าอาจจะมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ต้อง
รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบความเคลื่อนไหว
พร้อมที่จะรับทั้งผิด(เช่น คำติเตียน)และชอบ จากผล
งานที่ลูกน้องกระทำ
· อย่าโยนกลอง หรือ โทษลูกน้อง (อย่าโยน
ความผิดให้ลูกน้องรับแต่เพียงฝ่ายเดียว)
เมื่อมีปัญหาต้องรายงานหัวหน้าทันที พร้อมทั้งเตรียม
ทางเลือกหรือวิธีแก้ไขสำรองไว้ด้วย (ให้ระลึกเสมอว่า
หัวหน้าก็ต้องบอกนายที่อยู่ตำแหน่งสูงขึ้นไปตาม
ลำดับด้วย
เช่นกัน)
· ควรเตรียมคำตอบ เช่น
“ผมยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ แต่ผมจะหาข้อมูลและ
ให้คำตอบภายในบ่าย 3 โมงนี้”
รักษากำหนดเวลาที่ได้วางไว้ (ถ้าทำงานเสร็จก่อน
เวลาได้ยิ่งดี)
คิดล่วงหน้าและวางแผนการรับผิดชอบในระยะยาว
(บุคคลจำเป็นต้องมี Accountability ต่อสิ่งที่จะเกิด
ขึ้นในอนาคตด้วย)
· มีแผนสำรองกันเหตุฉุกเฉินเสมอเผื่อไว้เมื่อเกิด
การผิดพลาด
ต้องรักษาคำมั่นสัญญาและรักษาคำพูดในการเข้า
สังคมกับผู้อื่น
· ตอบรับหรือปฏิเสธการเชื้อเชิญโดยทันที
· ไปตามนัดตรงเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่ว่าจะไป
รับประทานอาหารเย็น ไปตีกอล์ฟ เล่นเทนนิส หรือ
ไปซื้อของ
· ถ้าในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย ต้องพยายามทำทุก
วิถีทางเพื่อแจ้งให้ผู้อื่นทราบล่วงหน้า
เป็นผู้ที่มี Accountability ต่อการประชุม · เตรียมข้อมูลให้พร้อมก่อนเข้าประชุมทุกครั้ง
· เข้าประชุมตรงเวลา (แสดงให้เห็นว่ามี

Accountability ต่อผู้ร่วมประชุมท่านอื่น)

· นำเสนองานส่วนที่ท่านเตรียมมาในที่ประชุม
· เมื่อประชุมเสร็จ ต้องให้คำมั่นว่าจะรับผิดชอบ
งานในส่วนที่ได้เสนอต่อที่ประชุม

The Seven Key Commitments for Effective Manager

1. Commitment to Self
2. Commitment to People
3. Commitment to Customer
4. Commitment to Task
5. Commitment to Organization
6. Commitment to Family
7. Commitment to Public

เทคนิคการตั้งคำถาม 5 W 1 H

WHAT/WHY - เป็นคำถามเพื่อหาวัตถุประสงค์ในการทำงาน
ทำอะไร ? ทำไมต้องทำ ? ทำอย่างอื่นได้หรือไม่
WHEN - เป็นคำถามเพื่อหาลำดับขั้นตอนการทำงานที่เหมาะสม
ทำเมื่อไหร่ ? ทำไมต้องทำตอนนั้น ? ทำตอนอื่นได้หรือไม่
WHERE - เป็นคำถามเพื่อหาสถานที่ทำงานที่เหมาะสม
ทำที่ไหน ? ทำไมต้องทำที่นั่น ? ทำที่อื่นได้หรือไม่ ?
WHO - เป็นคำถามเพื่อหาบุคคลที่เหมาะสมในการทำงาน
ใครเป็นคนทำ ? ทำไมต้องเป็นคนนั้นทำ ? คนอื่นทำได้หรือไม่ ?
HOW - เป็นคำถามเพื่อหาวิธีการทำงานที่เหมาะสม
ทำอย่างไร ? ทำไมต้องทำอย่างนั้น ? ทำวิธีอื่นได้หรือไม่ ?

10 เหตุผลของการได้ ISO9001 แล้วองค์กรไม่ดีขึ้น

จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=205408ในปัจจุบันมีองค์กรในประเทศไทยหลายพันองค์กรต่างได้รับการรับรองมาตรฐานISO9001 ซึ่งเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบบริหารคุณภาพที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก หลายๆ องค์กรมีการพัฒนาที่ดีขึ้นเมื่อได้รับการรับรองแล้ว มีผลประกอบการดีขึ้น ลูกค้ามีความพอใจที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงานดีขึ้น พนักงานมีความสุขที่มากขึ้นในการทำงาน องค์กรได้รับการยอมรับ มีชื่อเสียง และมีความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายๆ องค์กรที่ได้รับการรับรองแล้ว ไม่ดีขึ้นเลย หรือดีขั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ควรจะเป็นภายหลังการได้รับรอง หากดูในมาตรฐานISO9001 จะพบว่ามีเนื้อหาที่ดี มุ่งเน้นให้องค์กรมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งจากการพูดคุยกับหลายๆ คนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในงานตรวจประเมิน งานสัมมนา หรืองานฝึกอบรม ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายๆ องค์กรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO9001 แล้ว ยังไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น หรือน้อยมาก ซึ่งพอจะสรุปเป็นสาเหตุหลักๆ ได้ 10 ประเด็น ประกอบด้วย สาเหตุที่ 1 การกำหนดวัตถุประสงค์คุณภาพที่ไม่ชัดเจน ในข้อกำหนดของมาตรฐาน ISO9001 ได้ระบุไว้ว่าจะต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์คุณภาพ (Quality objective) เพื่อแสดงให้เห็นทิศทาง และเป้าหมายที่องค์กรจะมุ่งหน้าไป แต่บ่อยครั้งจะพบว่าวัตถุประสงค์ที่หลายๆ องค์กรกำหนดขึ้นมากลับไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรเลย ในขณะที่ข้อกำหนดระบุว่าวัตถุประสงค์คุณภาพที่กำหนดขึ้นจะต้องสามารถวัดได้ แต่หลายๆ องค์กรก็ยังกำหนดวัตถุประสงค์ที่มีลักษณะคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ไม่สามารถวัดได้ ใช้คำที่ไม่เฉพาะเจาะจง ยากต่อการสื่อสารและทำความเข้าใจ เช่น อย่างพอเพียง อย่างสม่ำเสมอ อย่างทั่วถึง หรืออย่างต่อเนื่อง เป็นต้น คำต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเท่าไร และเมื่อไร ซึ่งจะทำให้ยากต่อการนำไปดำเนินการต่อไป หรือนำไปสื่อสารให้กับพนักงานในองค์กรมีความเข้าใจที่ตรงกัน
นอกจากนั้น ในบางองค์กรถึงแม้จะกำหนดวัตถุประสงค์คุณภาพที่สามารถวัดได้แล้ว แต่หัวข้อของวัตถุประสงค์คุณภาพ ก็ไม่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์หรือสามารถสะท้อนได้ถึงความสำเร็จขององค์กร โดยมักจะกำหนดในเรื่องทั่วๆไป ที่ง่ายต่อการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย (กลัวว่าจะไม่ผ่านการตรวจประเมิน) ซึ่งโดยข้อเท็จจริงในการกำหนดวัตถุประสงค์คุณภาพ เมื่อดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จะต้องหมายถึงความสำเร็จที่แท้จริงขององค์กร เช่น ผลประกอบการทางด้านการเงินที่ดีขึ้น ความพึงพอใจของลูกค้าที่มากขึ้น ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ความปลอดภัยที่สูงขึ้น หรือการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดกับองค์กร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับองค์กรต่อไป
สาเหตุที่ 2 การทบทวนโดยฝ่ายบริหารที่น้อยครั้งจนไม่เกิดประโยชน์
การทบทวนโดยฝ่ายบริหาร หรือ Management review เป็นกระบวนการที่ผู้บริหารขององค์กรใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติ ซึ่งโดยหลักการที่ถูกต้องแล้ว กระบวนการนี้จะเป็นลักษณะของการป้องกัน (Prevention) เพราะข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ จะชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าองค์กรกำหนดให้ทำการทบทวนปีละหนึ่งหรือสองครั้ง ผลของการทบทวนจะไม่สามารถนำไปสู่การป้องกันปัญหาได้ เพราะไม่ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว องค์กรส่วนใหญ่มักจะมีการประชุมเพื่อทำการทบทวนข้อมูลเป็นประจำอยู่แล้ว บางแห่งก็ทุกสัปดาห์ บางแห่งก็ทุกเดือน ซึ่งจะมีการวิเคราะห์ และตัดสินใจในการประชุมอยู่ด้วย ดังนั้นควรจะนำการทบทวนโดยฝ่ายบริหารตามมาตรฐาน ISO 9001 รวมเข้ากับการประชุมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้สามารถวิเคราะห์ และตัดสินใจป้องกันปัญหาได้ทันเวลา นอกจากนั้น การทบทวนอย่างสม่ำเสมอ ยังช่วยลดเวลาและปริมาณของสิ่งที่จะต้องทำการทบทวนโดยฝ่ายบริหารในแต่ละครั้งให้ลดน้อยลง เมื่อเทียบกับการทบทวนปีละหนึ่งหรือสองครั้ง
สาเหตุที่ 3 ทำการควบคุมเอกสารเฉพาะที่เป็นเอกสารทางการเท่านั้น
องค์กรบางแห่ง จะทำการควบคุมเอกสารเฉพาะที่เป็นทางการ ซึ่งระบุไว้ในข้อกำหนดของระบบบริหารคุณภาพ เช่น คู่มือคุณภาพ (Quality manual) ระเบียบปฏิบัติงาน (Procedure) หรือ คู่มือการทำงาน (Work instruction) เท่านั้น ในขณะที่เอกสารประเภทอื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นเอกสารที่ไม่เป็นทางการหรือไม่ได้ระบุไว้ในข้อกำหนดของมาตรฐาน ISO9001 แต่มีข้อมูลที่สำคัญต่อการปฏิบัติงานขององค์กร ตัวอย่างเช่น
· กระดาษโน๊ตที่ระบุข้อกำหนดพิเศษ
· บันทึกย่อที่ระบุขั้นตอนการทำงาน
· E-mail ที่มีข้อกำหนดของลูกค้า
· รูปถ่ายที่แสดงว่าคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์จะต้องเป็นอย่างไร
· แบบผลิตภัณฑ์ที่ระบุรายละเอียดของการประกอบผลิตภัณฑ์
· ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่แสดงลักษณะของข้อบกพร่องตัวอย่าง
ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ จะถูกนำมาจัดทำเป็นเอกสาร เมื่อต้องมีการนำมาใช้ร่วมกันได้ภายในองค์กร ซึ่งบ่อยครั้งถูกจัดทำขึ้นและนำมาใช้แจกจ่ายอย่างเร่งรีบ โดยไม่มีการควบคุมที่ดี ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างมากต่อการทำงาน เพราะบ่อยครั้ง เมื่อไม่มีการควบคุมที่ดี เอกสารที่ยกเลิกหรือมีการเปลียนแปลงข้อมูล ก็จะไม่ถูกคัดแยกออกไปจากพื้นที่ปฏิบัติงาน ส่งผลให้เกิดความสับสนในการทำงาน มีการตัดสินใจที่ผิดพลาด และทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นควรจะมีการนำเอกสารที่สำคัญทั้งหมดมาทำการควบคุม โดยพิจารณาให้กระบวนการควบคุมเอกสารเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิผล
สาเหตุที่ 4 กำหนดให้มีผู้ดูแลเฉพาะสำหรับระบบบริหารคุณภาพ
ในบางองค์กรจะมีการกำหนดให้พนักงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเฉพาะ ISO9001 เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้มอบหมายให้ทำงานอย่างอื่นเลย ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลระบบบริหารคุณภาพ จะถูกแยกขาดออกจากการทำงานในองค์กร เพราะจะไม่ได้ทำอย่างอื่นๆ เลยนอกเหนือจากการดูแลระบบ ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะรับรู้หรือสัมผัสถึงการทำงานจริง รมถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใน ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้น อาจทำให้ระบบ QMS เกิดขั้นตอนที่ยุ่งยากมากขึ้น มีพิธีรีตองที่ยุ่งยากในการดำเนินการ
ทั้งนี้ระบบบริหารคุณภาพ เป็นเพียงแค่แนวทางในการดำเนินการ ที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรหรือเวลาอย่างมากมายสำหรับการดูแลรักษาระบบ อาจจะมีการมอบหมายให้มีผู้บริหารหรือพนักงานรับผิดชอบในการติดตามสถานะและความก้าวหน้าของระบบ แต่ก็ควรที่จะมอบหมายการทำงานในด้านอื่นๆ ให้รับผิดชอบด้วย
สาเหตุที่ 5 การฝึกอบรมให้เฉพาะบางคน ไม่ครอบคลุมทั้งหมด
องค์กรโดยส่วนใหญ่มักจะจัดการฝึกอบรมในเรื่องสำคัญๆ ให้เฉพาะกับบุคลากรระดับปฏิบัติงานด้านการผลิต ส่วนพนักงานสำนักงานหรือผู้บริหารมักจะถูกละเลย ไม่ได้รับการฝึกอบรม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะความรู้สึกที่ว่าการทำงานของพนักงานสำนักงาน มักจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสอดคล้องตามข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างมาก
ในความเป็นจริง บุคลากรทุกคนจะต้องอยู่ในกระบวนการฝึกอบรมด้วย รวมถึงพนักงานประจำที่ทำงานสำนักงาน หรือผู้บริหาร ก็จะต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอด้วย เพราะการตัดสินใจและการดำเนินการของพนักงานในกลุ่มนี้ล้วนส่งผลอย่างมากต่อระบบและการทำงานเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะถ้าผู้บริหารระดับสูงเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ย่อมส่งผลต่อธุรกิจอย่างมากด้วย
สาเหตุที่ 6 การสำรวจลูกค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ในการสำรวจความพึงพอใจลูกค้าที่ใช้เวลามาก และมีความซับซ้อน บ่อยครั้งจะไม่สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนด หรือถ้าออกแบบให้มีการสำรวจที่สั้นลง ก็อาจจะทำให้ข้อมูลที่ได้มีความสับสนและไม่สามารถนำมาใช้อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงหากคำถามมีความไม่สมดุลหรือไม่เป็นตรรกะ ผลที่ได้คือข้อมูลจะมีความผิดพลาด ซึ่งในสภาพการณ์นี้ การไม่มีข้อมูลจะเป็นผลดีกว่า เพราะข้อมูลที่ผิดพลาด จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเช่นเดียวกัน
ดังนั้น แทนที่จะทำการสำรวจด้วยรูปแบบที่ซับซ้อน ลองถามคำถามง่ายๆ กับลูกค้า ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยไม่จำกัดหัวข้อในการสำรวจ เปิดโอกาสให้ลูกค้าเป็นผู้กำหนดหัวข้อในการแสดงความคิดเห็น โดยใช้คำถามปลายเปิด เช่น อะไรเป็นสิ่งที่ลูกค้าชอบ อะไรคือสิ่งที่ไม่ชอบ หรืออะไรคือสิ่งที่ลูกค้าอยากจะเห็นในอนาคต คำถามปลายเปิดจะง่ายต่อการทำความเข้าใจและนำไปปฏิบัติ สมมติว่าถ้าใช้วิธีการหาดัชนีความพึงพอใจของลูกค้า และคำนวณได้เท่ากับ 4.1 จะยากต่อการอธิบายความหมาย แต่ถ้าเป็นคำถามเปิด อาจจะมีลูกค้า แปดในสิบคนที่บอกว่าการส่งสินค้าล่าช้ากว่าที่กำหนด ซึ่งง่ายต่อการทำความเข้าใจและนำไปดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
สาเหตุที่ 7 การเข้าใจว่าทุกคนรู้จักของเสียดี
ในบางองค์กรเมื่อมีการตั้งคำถามว่า ของเสียนำไปเก็บไว้ที่ไหน ซึ่งแนวทางในการควบคุมของเสียจะเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญอย่างมากสำหรับการควบคุม คำตอบที่ได้มักจะมีความคลุมเครือ บอกไม่ได้อย่างชัดเจนว่าของเสียถูกนำไปไว้ที่ไหน หรือบ่อยครั้งก็นำมารวมกันหรืออยู่ใกล้กันกับของดี ด้วยความมั่นใจว่าสามารถแยกแยะได้ตลอดเวลาว่าอะไรเป็นของดี อะไรเป็นของเสีย และเมื่อถามต่อไปว่ารู้ได้อย่างไรว่าลักษณะไหนที่เรียกว่าของเสีย บ่อยครั้งคำตอบที่ได้ก็ไม่ชัดเจนเช่นเคย หรือก็ไม่สามารถบอกได้อีกว่าจะจัดการของเสียอย่างไร
ในแนวทางที่ถูกต้อง องค์กรควรจะมีการแยกแยะของดี และของเสียออกจากกันอย่างชัดเจน มีการทำเครื่องหมายหรือแสดงด้วยสัญลักษณ์ ไม่ให้มีการปะปนกัน เพื่อป้องกันการนำไปใช้งานหรือนำไปส่งมอบให้กับลูกค้า ด้วยความไม่รู้หรือไม่แน่ใจ รวมถึงมีการนำเทคนิคการป้องกันความผิดพลาด (Error proof หรือ Poka-yoke) มาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการควบคุมของที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด (Non-conforming product)
สาเหตุที่ 8 ความล้มเหลวของกระบวนการปฏิบัติการแก้ไข
การปฏิบัติการแก้ไขปัญหา จะเป็นแนวทางอย่างเป็นระบบที่ใช้ในการตรวจวินิจฉัยปัญหา ระบุสาเหตุของปัญหา และดำเนินการแก้ไขไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำอีก แน่นอน ไม่มีใครอยากเจอกับปัญหา แต่เมื่อมีการจำเป็นที่จะต้องเจอ ก็จะต้องมีแนวทางที่เหมาะสมในการจัดการกับปัญหานั้นๆ ซึ่งการปฏิบัติการแก้ไข ถ้ายิ่งมีการใช้มากเท่าใด ก็จะส่งผลดีต่อองค์กรในการจัดการกับปัญหาและความเสี่ยงต่างๆ แล้วทำไมองค์กรหลายๆ แห่งถึงไม่มุ่งเน้นที่จะสร้างกระบวนการปฏิบัติการแก้ไขให้เกิดขึ้นในองค์กร เหตุผลมักจะประกอบด้วย
· การปฏิบัติการแก้ไขไม่เหมาะสำหรับปัญหาขนาดใหญ่ หรือ
· การปฏิบัติการแก้ไขไม่เหมาะสำหรับปัญหาขนาดเล็ก หรือ
· ไม่มีใครจะเข้าใจสาเหตุหลักของปัญหาได้ หรือ
· เครื่องมือที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาปัจจุบันมีความสับสนมาก หรือ
· วิธีการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ ต้องใช้เอกสารจำนวนมาก หรือ
· การปฏิบัติการแก้ไขต้องใช้เวลานานมาก หรือ
· ไม่ชอบรูปแบบการปฏิบัติการแก้ไขที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน หรือ
· ผู้บริหารระดับสูงมักจะแสดงความไม่พอใจกับการปฏิบัติการแก้ไข เพราะแสดงว่าเกิดความเสียหายขึ้น
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่ปัญหาของการปฏิบัติการแก้ไข แต่เป็นปัญหาของแนวทางในการดำเนินการแก้ไข ซึ่งการปฏิบัติการแก้ไขที่ดีจะต้องง่าย ไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน และมีความต่อเนื่องในการดำเนินการ โดยการ
· ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในการแก้ไขปัญหา เน้นเฉพาะสิ่งที่จำเป็น ได้แก่ การอธิบายปัญหา การหาสาเหตุของปัญหา การดำเนินการเพื่อขจัดสาเหตุ และการติดตามความมีประสิทธิผลของการดำเนินการแก้ไขปัญหา
· พยายามลดการใช้ชื่อเรียกทางเทคนิค เพราะจะส่งผลให้พนักงานไม่เข้าใจ และเกิดความเบื่อหน่ายต่อกระบวนการแก้ไขปัญหา รวมถึงอาจจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าการแก้ไขเป็นเรื่องที่ยาก สามารถทำได้เฉพาะวิศวกร หรือผู้จัดการเท่านั้น
· การลดจำนวนเอกสารที่ต้องใช้ในกระบวนการให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยการใช้สื่ออิเลคทรอนิคส์ในการติดตามการแก้ไขปัญหา
· สื่อสารการปฏิบัติการแก้ไขออกไปในวงกว้าง เมื่อให้พนักงานคนอื่นๆ ได้เห็นถึงความสำเร็จของการดำเนินการแก้ไข ซึ่งจะส่งผลให้มีความสนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการมากขึ้น
· จัดให้มีเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา โดยให้อิสระกับพนักงานในการเลือกใช้ เช่น หากมีการกำหนดว่าในทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น จะต้องมีการวิเคราะห์ความล้มเหลวและผลกระทบ (Failure mode and effect analysis) ในทุกครั้ง ก็จะทำให้พนักงานเกิดความท้อแท้ เบื่อหน่ายในการแก้ไขปัญหาได้ เพราะพนักงานบางคนอาจจะรู้สึกถึงความยุ่งยาก และไม่เห็นความสำคัญ ส่งผลให้ข้อมูลที่ได้ ไม่สะท้อนข้อเท็จจริงมากนัก อาจจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้
สาเหตุที่ 9 การตรวจประเมินที่มองเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น
การตรวจประเมินจะเป็นกระบวนการที่ใช้ในการเปรียบเทียบระหว่างสภาพการทำงานจริง กับมาตรฐานหรือวิธีการปฏิบัติงานที่องค์กรได้กำหนดไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการดำเนินการ และใช้เวลาไม่มากนัก แต่สามารถให้ประโยชน์ในการปรับปรุงงานอย่างมากกับองค์กร อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พบในหลายๆ องค์กร เมื่อทำการตรวจประเมินภายใน (Internal audit) จะให้ความสนใจเฉพาะในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ โดยละเลยที่จะมองภาพใหญ่ของระบบ ส่งผลให้ประโยชน์ที่ได้จากการตรวจประเมินมีน้อยมาก และอาจทำให้มองข้ามความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับองค์กรได้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการขาดการเอาใจใส่ของฝ่ายบริหารต่อกระบวนการตรวจประเมิน ขาดการพัฒนาและฝึกอบรมผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจประเมินภายใน หรือการมอบหมายงานตรวจประเมินภายในให้กับผู้ที่เป็นพนักงานใหม่ หรือพนักงานที่ไม่มีหน้าที่สำคัญ ที่ขาดประสบการณ์และทักษะในงาน ซึ่งในการตรวจประเมินภายในที่จะช่วยให้เกิดประโยชน์กับองค์กร ผู้ตรวจประเมินภายใน ควรจะมุ่งเน้นในการตรวจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้
· ความพึงพอใจลูกค้า โดยพิจารณาว่าองค์กรได้มีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวกับความพึงพอใจของลูกค้าอย่างไร มีการดำเนินการอย่างไรกับข้อมูลเหล่านั้น และแสดงถึงแนวโน้มของการปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้าหรือไม่
· การทบทวนโดยฝ่ายบริหาร โดยพิจารณาว่าการทบทวนได้เกิดขึ้นตามแผนที่กำหนดไว้หรือไม่ ข้อมูลที่จำเป็นได้รับการทบทวนหรือไม่ รวมถึงการดำเนินจากผลการทบทวนมีอะไรบ้าง
· การปฏิบัติการแก้ไข โดยพิจารณาว่าได้มีการดำเนินการแก้ไขกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดที่เกิดขึ้นหรือไม่ หรือพิจารณาว่าสาเหตุของปัญหาได้รับการขจัดออกไปเพื่อป้องกันการเกิดขึ้นซ้ำของปัญหาหรือไม่
· การปฏิบัติการป้องกัน โดยพิจารณาว่าองค์กรได้มีการดำเนินการป้องกันจากข้อมูลที่ได้หรือไม่ และมีประสิทธิผลหรือไม่
· การตรวจประเมินภายใน โดยการพิจารณาว่าได้มีการดำเนินการตรวจประเมินตามแผนที่กำหนด และอยู่บนพื้นฐานของความสำคัญและผลของการตรวจที่ผ่านมาหรือไม่
· วัตถุประสงค์ โดยพิจารณาว่าได้มีการกำหนดและสื่อสารวัตถุประสงค์คุณภาพหรือไม่ รวมถึงพนักงานมีความเข้าใจในวัตถุประสงค์คุณภาพหรือไม่
· การควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนด โดยพิจารณาว่าความไม่เป็นไปตามข้อกำหนดทั้งหมดได้รับการระบุไว้ทั้งหมดหรือไม่ มีการวิเคราะห์แนวโน้มเพื่อทำการปรับปรุงงานหรือไม่
การมุ่งเน้นการตรวจประเมิน เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะส่งผลให้เกิดการเข้าใจผิดถึงเป้าหมายของการตรวจประเมินได้ อาจจะถูกมองว่าต้องการมาจับผิดเท่านั้น ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรจากการตรวจประเมินเลย ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาวต่อการบริหารระบบคุณภาพ เพราะการตรวจประเมินภายใน ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผู้บริหารองค์กรจะใช้ในการติดตามความมีประสิทธิผล รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับระบบบริหารคุณภาพขององค์กร เพื่อทำการตัดสินใจแก้ไขปัญหาต่อไป
สาเหตุที่ 10 ลงมือทำเฉพาะในสิ่งที่ผู้ตรวจประเมินภายนอกบอกเท่านั้น

ความเห็นของผู้ตรวจประเมินภายนอก หรือ หน่วยงานที่ทำการตรวจประเมินเพื่อให้การรับรอง มักจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อองค์กร ซึ่งในบางครั้งก็เป็นความเห็นที่ดี แต่บางครั้งก็เป็นความเห็นที่ไม่เหมาะสมนักกับองค์กร ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เหตุผลเพราะผู้ตรวจประเมินบางคน จะมีประสบการณ์อย่างมากกับการตรวจประเมินเพื่อให้การรับรอง แต่จะขาดมุมมองของความเป็นจริงในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ในการปฏิบัติงาน การมองเห็นระบบบริหารคุณภาพจากหลายๆ องค์กร จะทำให้เกิดกรอบความคิดที่มักจะนำมาใช้เป็นข้อเสนอแนะ หรือระบุเป็นความบกพร่องสำหรับองค์กรที่เข้าไปทำการตรวจประเมิน ซึ่งบางครั้งก็เหมาะที่จะนำไปใช้ แต่บางครั้งก็ไม่เหมาะ ด้วยความแตกต่างระหว่างองค์กร ระหว่างธุรกิจ หรือระหว่างอุตสาหกรรม
สิ่งหนึ่งที่องค์กรควรจะคำนึงถึงในทุกครั้งที่ผู้ตรวจประเมินภายนอกให้คำแนะนำ คือความเป็นไปได้ในการดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับอย่างแท้จริงกับองค์กร รวมถึงความคุ้มค่า และความจำเป็นในการดำเนินการ หลายๆ ครั้งตัดสินใจลงมือทำเพียงเพราะว่า ผู้ตรวจประเมินบอกให้ทำ โดยไม่รู้ว่าทำไปทำไม และมีประโยชน์อย่างไร สุดท้ายก็เป็นความสูญเปล่า และเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเกิดขึ้น และเมื่อถึงการตรวจในครั้งต่อไป ผู้ตรวจประเมินคนใหม่ ก็อาจจะแนะนำให้ต้องทำเพิ่มขึ้นอีก โดยที่องค์กรก็ยังไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร
จากที่ได้อธิบายมาถึง
10 สาเหตุที่ทำให้องค์กรที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO9001 แล้วไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น ซึ่งในองค์กรอื่นๆ อาจจะมีเหตุผลของความล้มเหลวที่มากกว่านี้อีก แตกต่างกันไปตามสภาพและเงื่อนไขของแต่ละองค์กร เช่น เป้าหมายในการรับรองที่ต้องการเพียงแค่ใบรับรองเพื่อแสดงให้ลูกค้าดูเท่านั้น หรือการขาดความมุ่งมั่น สนับสนุน และเอาใจใส่จากผู้บริหารขององค์กร รวมถึงความเข้าใจผิดที่ว่าการดูแลรักษาระบบเป็นเรื่องของแผนกประกันคุณภาพเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว เป็นต้น ดังนั้นลองหันกลับไปทบทวนดูในองค์กรว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้องค์กรไม่มีการพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้นเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO9001 มานานพอสมควรแล้ว ลองกลับมาทบทวนและลงมือแก้ไขกันก่อนดีไหมครับ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป จะได้มั่นใจและภูมิใจมากขึ้นว่าตัดสินใจถูกต้องแล้วที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO9001

ความล้มเหลวของ CEOs

ในโลกของการบริการทุกอย่างที่ต้องทำให้เป็นจริงให้ได้ แต่อะไรที่ไม่ทำให้เกิดขึ้นจริงนั้นหมายความว่า “ล้มเหลว” และความล้มเหลวนี้อาจจะเป็นวังวนใจชีวิตของคุณไปตลอดก็ได้ และแน่นอนว่าหากคุณไม่จัดการมันให้สำเร็จมันก็อาจจะนำมาซึ่งความล้มเหลวไปเรื่อยๆ และบทนี้จะขอเสนอ พฤติกรรม 11 ข้อ แห่งความล้มเหลวที่ผู้บริหาร CEOs ต้องเจอ ได้แก่

1.ผู้บริหารที่หยิ่งผยอง หมายความว่า เป็นผู้บริหารที่มักจะมองเฉพาะตัวเองที่เป็นฝ่ายถูกแต่เพียงผู้เดียว ผู้อื่นนั้นผิดหมด ซึ่งอาจเกิดจาก ความฉลาดเหนือผู้อื่นที่มักจะทำให้คนเราตาบอกได้เสมอ และส่วนใหญ่เขาก็จะได้รับบทเรียนที่เกิดจากความมั่นใจของตนเองมากเกินไป และความเชื่อในความคิดของตนเองเป็นใหญ่แบบไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งนำไปสู่ความหายนะ
2.ผู้บริหารตีบทแตก เป็นพวกที่ชอบทำให้ตัวเองเป็นจุดเด่นเสมอนั่นคือ การสร้างภาพให้ดี การเป็นผู้บริหารแบบตีบทแตกนั้น ต้องเป็นพวก ที่มีการแสดงออกทางอารมณ์ หรือด้วยการกระทำที่มากเกินปกติ ซึ่งชวนให้นึกว่าการแสดงที่นอกเหนือไปจากบท หากนำมาใช้ ในองค์กรความเป็นคนตีบทแตก จะกลายเป็นบุคลิกที่คอยทำลายตัวเองไปในทันที เพราะว่ามันจะคอยลดบทบาทของคนอื่น และจะ สูญเสียศักยภาพในการมองเห็นว่ารอบข้างนั้นเกิดอะไรขึ้น
3.ผู้บริหารอารมณ์แปรปรวน เป็นผู้บริหารที่เอาใจยากพอดู เพราะอารมณ์ของจะมาอารมณ์ไหนในแต่ละวันมันย่อมเป็นเรื่องที่ติดลบ อย่างแน่นอน เพราะพนักงานมักจะลังเลที่จะติดต่อคุยกับคุณ ไม่อยากเข้าใกล้ แต่ถ้าหนักเข้า อาจจะต้องหาวิธีรับอารมณ์แปรปรวนของคุณ
4.ผู้บริหารรอบคอมเกินจำเป็น หากการตัดสินใจที่กำลังจะมาถึง อาจเป็นการตัดสินใจครั้งแรกของคุณ บางทีคุณก็รอบคอบมากเกินไป ดูกังวลไปซะทุกเรื่อง เพราะคำพูดและการกระทำมันบ่งบอกถึงอนาคตขององค์กร และการที่คุณระมัดระวังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คุณต้อง ไม่ทำให้ความระมัดระวังที่เป็นความรอบคอบนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความระแวงซึ่งมันคือ ความรอบคอบเกินจำเป็นในการเป็นผู้นำระดังสูง เพราะหากคุณกลัวการตัดสินใจว่าจะทำผิดพลาดเกินไป แล้วข้อมูลหรือที่ปรึกษานั้นได้ให้คำแนะนำที่ไปคนละทิศคนละทางกับความคิด ของคุณ คุณก็จะยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก นั่นคือคุณไม่ยอมตัดสินในอะไรเลย หากคุณปล่อยเวลาสำหรับการคิดนั้นมากเกินไป ก็มีค่าเท่ากับศูนย์เปล่า
5.ผู้บริหารที่ไว้ใจแต่ตัวเองเท่านั้น เป็นผู้บริหารที่ไม่เคยไว้ใจใครเลย นั่นคือการทำลายอาชีพของคุณ และองค์กรเลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อคุณเก่งคุณก็ล้มได้ ส่วนความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันมักก่อให้เกิดสภาพการทำงานแบบประธานาธิบดีนิกสัน โดยการแพร่กระจาย ความไม่ไว้วางใจคนอื่นไปสู่คนอื่นๆ ต่อๆ ไป มันเหมือนการแพร่กระจายเชื้อไวรัส ซึ่งองค์กรที่อยู่ในสภาวะการแข่งขันต้องเคลื่อนให้ไว สู่การเป็นหากลด้วยจำนวนที่มีหลากหลายชนชั้น เชื่อชาติ อุปนิสัยใจคอ และวันที่แตกต่างกัน เพราะถ้าหากองค์กรใดไม่มีความไว้วางใจ ซึ่งกันและกันแล้วมักจะอยู่ไม่ได้
6. ผู้บริหารที่ไม่ยอมสุงสิงกับใคร หากคุณเป็นคนที่เก็บตัวอยู่ในโลกส่วนตัวของคุณเพียงคนเดียว คุณแบ่งแยกตัวเองออกจากสังคมและไม่ยอมรับรู้โลกภายนอก เช่น การเพิกเฉยต่อความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งพฤติกรรแบนี้จะมีการเลียนแบบและทำตามจนกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กร เพราะฉะนั้นการสื่อสารจะเกิดความบกพร่องและขาดความจงรักภักดี ซึ่งต้องระวังในเรื่องนี้ให้มาก
7. ผู้บริหารนอกคอกและแหกกฎ เป็นการประพฤติตัวไม่เหมาะสมแก่ลูกน้อง ซึ่งคุณอาจจะบอกว่ากฎระเบียบต่างๆ นั้นเป็นเพียงแค่แนวทาง ไม่ใช่สิ่งที่คุณยึดมั่นหรือถือมั่นว่าจะต้องทำตาม และยิ่งถ้าคุณเป็นผู้บริหารที่ชอบทำตัวให้เด่นแบบยินดีที่จะดับด้วยการแหกกฎประหลาดและไร้วินัย โดยนิสัยนี้จะส่งผลให้คุณไม่สามารถปกครององค์กรหรือลูกน้องได้ เพราะตัวคุณเองยังไม่อยู่ในกฎเลยแล้วค้นอื่นจะไม่เป็นอย่างคุณได้อย่างไร
8. ผู้บริหารที่นึกสนุกในการทำตัวให้ต่างจากคนอื่น การทำตัวให้แตกต่างจากคนอื่นบางครั้งมันก็เป็นเรื่องดีแต่ก็ไม่ต้องถึงกับประหลาดจนคนอื่นรับไม่ได้ เพราะมันออกจะเป็นปัญหาซะมากกว่า เนื่องจากธรรมชาติของความไม่เหมือนใครมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความคิดสร้างสรรค์ แต่เอาเข้าจริงมันกลายเป็นสิ่งที่ทำลายตัวเองด้วยความที่ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญขององค์กรและทีมเบี่ยงเบนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น ความแปลกประหลาดเช่นนี้หากได้นำมาใช้อย่างสร้างสรรค์ย่อมดีแต่หากใช้ไม่เป็นมันก็จะเป็นบทเรียนราคาแพง เพราะอาจจะทำให้องค์กรคุณนั้นประสบกับความหายนะได้
9. ผู้บริหารที่ต่อต้านด้วยความเงียบสงัด พฤติกรรมที่ต่อต้านอย่างเงียบๆ นี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้สงบนะครับซึ่งก็เหมือนกับการดื้อเงียบ เช่น การไม่กล้าต่อต้านความคิดเจ้านายที่คิดผิดๆ เพราะไม่เป็นประโยชน์และจะพาลทำให้อนาคตไม่ราบรื่นนัก พฤติกรรมที่กล้าคิดแต่ไม่กล้าทำหรือการแสดงออกนี้เป็นภัยเงียบที่กัดกร่อมองค์กรจนทุกคนขยาด เพราะฉะนั้นเราควรร่วมสร้างวัฒนธรรมที่กล้าคิดกล้าทำในเรื่องที่สมควรและเหมาะกับบริษัทจะดีกว่า
10. ผู้บริหารจุกจิ เป็นผู้บริหารที่ดีในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผู้บริหารอย่างนี้ชอบการจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆ แล้วก็ไม่สามารถทำได้ดีนัก ซึ่งการมองภาพใหญ่สำคัญกว่ามองภาพที่ลงในรายละเอียด ซึ่งคุณไม่มีทางประสบความสำเร็จด้วยการมองภาพเล็กๆ น้อยๆ คิดเล็กจะไปสู้อะไรกับคิดใหญ่ เพราะนั่นเท่ากับคุณลืมปรัชญาความเป็นผู้นำไปหมด การคิดเล็กคิดน้อย หรือใส่ใจในรายละเอียดมากเกินไป ซึ่งผู้บริหารบางคนพาลูกน้องไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหาร แต่ตัวผู้บริหารนั้นชอบย้ายไปนั่งตรงนั้นที ตรงนู้นที ขยับไปเรื่อยๆ จนทำให้คนอื่นๆ ในร้านคิดว่าใครเป็นผู้บริหารหรือใครเป็นลูกน้องไปซะแล้ว
11. คุณอยากเป็นผู้ชนะใจทุกคนในองค์กร ผู้บริหารแบบนี้ไม่ใช่ว่าดีนะครับ เพราะการเอาในลูกน้องก็ควรเอาใจจนมากนัก ขอบเขตเพราะคุณไม่สามารถนั่นในใจคนทั้งองค์กร คนที่ชอบวิธีการบริหารของคุณก็มี ไม่ชอบก็มาก เป็นเร่องปกติธรรมดายิ่งต้องเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ในองค์กรดีโดยคุณสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นจะนำมาซึ่งประโยชน์ส่วนรวมแล้วคุณต้องยอมคนที่ต่อต้านกับคุณอีกด้วย เพาระฉะนั้นการที่จะเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องพุ่งเข้าไปทำให้ฝ่ายตรงข้ามถูกใจก่อน เพราะนั่นเป็นการดักการบริหารของเหล่า CEO หลายๆ คนมาแล้ว
การเป็นผู้บริหารหรือ CEOs ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และจากพฤติกรรมทั้ง 11 ข้อที่กล่าวมา พอที่จะบอกถึงแง่มุมมองจริงๆ ซึ่งสามารถที่จะคอยเตือนสติว่าต้องไม่ล้มเหลวอีก
ที่มา : www.siamhrm.com

ทำไมคุณจึงบริหารงานล้มเหลว !!!!

เป็นคำถามที่ผู้บริหารหลายคนอาจเคยเฝ้าถามหาเหตุผลกับตัวเอง ถึงสาเหตุว่าทำไมตนเองถึงไม่ประสบความสำเร็จในการบริหาร หรือไม่ได้ผลลัพธ์เท่าที่ตนเองคาดหวังไว้ แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้คงไม่ใช่เพราะโชคชะตาหรือเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้น หากแต่เกิดจากความผิดพลาดที่เกิดจากตัวคุณเองบางประการที่คุณอาจมองข้าม ซึ่งจริงๆ แล้วอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยเหล่านี้ก็เป็นได้ผู้บริหารล้มเหลวทางด้านความรู้ความล้มเหลวทางด้านความรู้-ความเข้าใจทั้งในของด้านนโยบายและวิธีการปฏิบัติ หากคุณขาดหรือไม่มีความรู้ทางเนื้อหาวิชาที่จำเป็นเพียงพอ หรืออาจเป็นเรื่องของการขาดประสบการณ์ ตลอดจนขาดความรู้ทางด้านกฏหมาย ระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ก็อาจเป็นช่องโหว่ที่ทำให้การบริหารงานของคุณนั้นไม่เป็นไปตามเป้าวัตถุประสงค์ก็เป็นได้
ผู้บริหารล้มเหลวทางบุคลิกภาพ เรื่องนี้เป็นความล้มเหลวทางด้านส่วนบุคคลล้วนๆ อาจเป็นทางด้านบุคลิกภาพหรือความน่าเชื่อถือของคุณ บุคลิกภาพส่วนบุคคลนั้นมีความสำคัญพอ ๆ กับความรู้ ความล้มเหลวทางด้านบุคลิกภาพมีสาเหตุมาจากขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนไปถึง การไม่มีความสามารถในการตัดสินใจ เพราะเกิดความกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาด ผู้บริหารบางคนขาดความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่กระจายความรับผิดชอบให้กับผู้ร่วมงานและไม่สามารถวิเคาระห์และประเมินผู้ร่วมงานได้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก
ผู้บริหารมีปัญหาของผู้บริหาร
ปัญหาส่วนตัวของผู้บริหาร หรือปัญหาทางด้านจิตใจ อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารงาน เช่น ปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างของบุคลในองค์การ (Typical Problem)
ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ร่วมงานในองค์การ (The Problem of interrelationship)
ปัญหาเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ทั้งด้านเอกสารและคำพูดของบุคคลในองค์การ (The Problem of communication) หรือ
ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (The Problem of Change)
หากผู้บริหารรู้จักแก้จุดอ่อนเหล่านี้ และพยายามพัฒนาศักยภาพของตน ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาก็คือ การพยายามแก้จุดอ่อนของตัวเอง เช่นหาความรู้หรือศึกษาในเรื่องที่คุณกำลังดำเนินงานอยู่ให้ถ่องแท้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพตัวเองและสะสางปัญหาที่อาจทำให้มีผลกระทบต่อการทำงานของคุณรับรองว่าอีกไม่นานสถานการณ์ในเรื่องการบริหารของคุณต้องมีทิศทางที่ดีขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ที่มา www.jobdb.com

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

บันไดขั้นที่ 1: มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวันในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้วให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้นคุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเองและอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ
บันไดขั้นที่ 2 : มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดีขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขาซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต
บันไดขั้นที่ 3 : ทำวันนี้ให้ดีที่สุดคือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่าในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีตเพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นจนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก
บันไดขั้นที่ 4 : มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆจะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขันและไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation)กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้
บันไดขั้นที่ 5: ปรับปรุงตัวเองเสมอโดยปรับปรุง 4ส่วน ที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

“The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes.”- – Benjamin Disraeli – -

หลักการ 5ส ที่มองไม่เห็น

จุดประสงค์หลักของ 5 ส คือ การจัดระเบียบ การทำความสะอาด การแยกของเสีย ของไม่ใช้ ของใช้น้อย ใช้บ่อย ออกมาให้ชัดเจน หลักการของ 5 ส คือการแยกของดีของเสียออกจากกัน จัดระเบียบของดีนั้น และหมั่นทำความสะอาดเมื่อเอาหลักการนี้มาจัดกับสถานที่ทำงาน สิ่งของเครื่องใช้ วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ นั่นคือ 5 ส ทั่วไปเมื่อเราเอาหลักการนี้มาจัดกับระบบงาน วิธีทำงาน แนวความคิด และกฎเกณฑ์ นั่นคือ 5 ส ที่มองไม่เป็นอาจเปรียบเทียบได้ว่า 5 ส ทั่วไป เราทำกับสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่ 5 ส ที่มองไม่เห็น เราทำกับสิ่งที่เป็นนามธรรมภายในสำนักงาน สิ่งที่มองเห็นอาจจะดูเรียบร้อยดี แต่ สิ่งที่มองไม่เห็น เอกสารที่เก็บอยู่นั้นมีความซ้ำซ้อนเกินความจำเป็นหรือไม่ เอกสารมีมากเกินความจำเป็นในการใช้งานหรือไม่ เอกสารที่เก็บอยู่สามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ความสะอาดเรียบร้อย ความเป็นระเบียบที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า คือผลงานของ 5 ส แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความเหมาะสมถูกต้องหรือไม่ เราตอบไม่ได้ เพราะนี่คือ 5 ส ที่มองไม่เห็น เมื่อไม่เห็นก็ต้องทำให้มันเห็น 5 ส ที่มองไม่เห็น เป็นการค้นหางานที่ยังไม่ดี ไม่เรียบร้อย การที่เราทำ 5 ส พื้นฐานก่อนเพื่อปรับสภาพแวดล้อมทุกอย่างให้เป็นระเบียบ ให้อยู่ในสภาพที่มันควรจะเป็น การมองภาพของงานจะดูง่ายขึ้นได้ภาพชัดเจนและถูกต้อง
ข้อมูลจาก http://www.bestchum.com/S5s.html

สมการแห่งความสำเร็จ

สมการแห่งความสำเร็จFebruary 17th, 2009
มองมุมใหม่ : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th กรุงเทพธุรกิจ วันอังคารที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2551
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้มีโอกาสไปซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมาจากศูนย์หนังสือจุฬาฯ ชื่อ A Passion for Success ซึ่งเขียนโดย Kazuo Inamori ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จท่านหนึ่งในญี่ปุ่น และในหนังสือเล่มนี้ ก็เป็นหนังสือที่เล่าถึงหลักคิด และแนวทางในการดำรงตนและการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วหนังสือประเภทนี้เราก็จะพบว่า มาจากฝั่งตะวันตกเสียมาก นานๆ ที ถึงจะมีหนังสือในลักษณะดังกล่าวมาจากทางฝั่งเอเชียให้เราได้อ่านกัน
แนวคิดหลักที่สำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่ผู้เขียนนำมาจากประสบการณ์จริงก็คือ เรื่องของสูตรหรือแนวทาง ในการประสบความสำเร็จครับ ซึ่งผมมองว่าเป็นสิ่งที่ชัดเจนและสามารถเข้าใจได้ง่ายดี โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เขาได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ความสำเร็จในชีวิตคนเรานั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสามประการครับ ได้แก่ ความสามารถ (Ability) ความพยายาม (Effort) และทัศนคติ (Attitude) โดยปัจจัยทั้งสามประการนั้น สามารถนำมาเข้าเป็นสมการง่ายๆ ได้ดังนี้ครับ ความสำเร็จของชีวิต = ความสามารถ x ความพยายาม x ทัศนคติ
ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเริ่มคัดค้านว่า เราไม่สามารถนำปัจจัยที่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จมาเข้าสมการได้ แต่ถ้ามองดูดีๆ แล้วจะพบว่าสมการข้างต้นเป็นตัวชี้ให้เห็นเลยนะครับว่า ทำไมคนที่มีความสามารถปานกลาง ไม่ได้ฉลาดเฉลียว หรือ มีพรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิดถึงสามารถประสบความสำเร็จได้ ในขณะเดียวกันผู้ที่ฉลาด เรียนเก่ง สมองดี จำนวนมากกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าคนที่สมองปานกลางแต่มีความพยายามและความมุ่งมั่นที่สูง
ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมอยากจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนเองทำทั้งสิ้นครับ เพียงแต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งสามประการ โดยปัจจัยแรกคือ เรื่องของความสามารถหรือ Ability นั้นก็คงจะทราบกันอยู่แล้วครับ ว่าได้แก่ พวกความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความฉลาดที่หลายๆ ครั้งมักจะติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด (เรียกว่าทำบุญเมื่อชาติที่แล้วมาดี) ส่วนปัจจัยประการที่สองคือเรื่องของความพยายาม (Effort) ก็เป็นเรื่องของความตั้งใจ ความมุ่งมั่น การไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ และปัจจัยประการสุดท้ายคือทัศนคติ (Attitude) ก็เป็นเรื่องของทัศนคติ ค่านิยม ปรัชญาในการดำรงชีวิตและการทำงานของเราทุกคน
ท่านผู้อ่านลองเดาดูซิครับว่าในปัจจัยทั้งสามประการนั้น ผู้ที่คิดสมการนี้ขึ้นมามองว่าปัจจัยตัวไหนที่มีความสำคัญที่สุด? เชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายๆ ท่านจะนึกถึงเรื่องของความสามารถ กับ ความพยายาม เพราะเป็นสิ่งที่เราพบเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ผู้เขียนหนังสือเรื่อง A Passion for Success เขาให้ความสำคัญกับปัจจัยประการสุดท้าย ในเรื่องของทัศนคติมากที่สุดครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติและค่านิยมของบุคคลในการดำรงตนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ความตั้งใจและมุ่งมั่นในการทำสิ่งใด
ท่านผู้อ่านลองนึกภาพดูซิครับว่าถ้ามีคนที่ฉลาด ปราดเปรื่อง มีความสามารถ รวมทั้งมีความตั้งใจ และความพยายามในการทำงานที่สูง แต่เป็นผู้ที่คิดไม่ดี ชอบคดโกง คนประเภทนี้จะเป็นบุคคลอันตรายมากเพียงใด
สมการข้างต้นและการให้ความสำคัญกับเรื่องของทัศนคติเป็นเสมือนเครื่องมือที่ทำให้เราเห็นภาพเหมือนกันนะครับว่า ทำไมคนบางคนดูแล้วน่าจะประสบความสำเร็จ กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่บางคนที่สมัยเรียนหนังสือดูเรียบๆ เฉยๆ กลับประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ ท่านผู้อ่านลองมองย้อนกลับไปดูเพื่อนๆ สมัยเรียนหนังสือซิครับ เพื่อนบางคนเป็นเด็กประเภทหัวดี เป็นที่หนึ่งของห้องตลอด เรียนเก่งในทุกวิชา กีฬาก็เก่ง ดนตรีก็เก่ง แต่พอโตขึ้นมาแล้วความสำเร็จและความก้าวหน้าในชีวิตกลับไม่รุ่งโรจน์เหมือนที่คนอื่นคาดหวังไว้ บุคคลเหล่านี้ไม่ถึงกับไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้พุ่งเป็นพลุดังความสามารถที่มีอยู่
ในขณะเดียวกันเพื่อนบางคนสมัยเรียน เป็นคนที่เรียนหนังสือดีกว่าปานกลางหน่อย แล้วก็ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรในสายตาของเพื่อนฝูงเลย แต่เมื่อเติบโตและทำงานแล้ว กลับประสบความสำเร็จมากกว่าเพื่อนที่เรียนเก่ง ซึ่งเมื่อนำสมการความสำเร็จข้างต้นมาพิจารณาแล้ว ก็พอจะอธิบายได้เลยครับว่า ทำไมคนที่มีความสามารถปานกลาง แต่มีทัศนคติและค่านิยมในการดำรงชีวิตที่ดี ยอมรับในสิ่งที่ตนเองด้อย และมีความพยายามอย่างมากเพื่อทดแทนในสิ่งที่ตนเองด้อยนั้น สามารถประสบความสำเร็จเหนือกว่าพวกที่เก่ง มีความสามารถโดดเด่น แต่ไม่คุ้นชินกับการใช้ความพยายามที่มาก (เนื่องจากคิดว่าตัวเองหัวดีอยู่แล้ว เอาตัวรอดได้เสมอ)
ผมว่าท่านผู้อ่านอาจจะลองนำสมการความสำเร็จนี้ไปใช้รวมทั้งไปสอนลูกหลานหรือลูกน้องได้เลยนะครับ ถึงแม้เราจะไม่สามารถพิสูจน์ความถูกต้องของสมการนี้ตามหลักคณิตศาสตร์ แต่อย่างน้อยก็เป็นเครื่องชี้ให้คนธรรมดาทั่วๆ ไปเห็นว่าการจะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมองดี ความสามารถเด่น เพียงอย่างเดียว ความพยายามและทัศนคติก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้เราประสบความสำเร็จ

บาป 10 ประการของผู้บริหารยอดยี้ !

หลายปีมาแล้วที่เราๆ ท่านๆ ได้ยินนักข่าวสายการเมืองให้ฉายานักการเมืองหรือรัฐมนตรีบางท่านที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือไม่มีผลงานว่าเป็น “รัฐมนตรียี้” หรือ “ส.ส.ยี้” ซึ่งเดี๋ยวนี้เราก็ยังได้ยินกันอยู่เนืองๆ ใช่ว่าคำว่า “ยี้” จะถูกใช้ไว้บรรยายสรรพคุณ (หรือสรรพโทษ) เฉพาะของนักการเมืองเท่านั้น ผู้บริหารในวงการธุรกิจก็อาจเป็น “ยี้” หรือถูกลูกน้อง “ยี้!” ใส่ได้เหมือนกันถ้าทำตัวไม่ดีแต่ก็นั่นแหละค่ะ ผู้นำหรือผู้บริหารหลายท่านก็ไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่าได้ทำอะไรที่ไม่สมควรไปบ้าง เพราะความที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมีแต่คนเกรงอกเกรงใจ ยกยอปอปั้นจึงอาจทำให้ลืมตัวขาดสติทำในสิ่งที่อย่างเบาะๆ ก็ทำลายขวัญกำลังใจของลูกน้อง และอย่างแย่ก็คือสร้างศัตรูคู่อาฆาตคอยกำจัดท่านโดยที่ท่านอาจไม่รู้ตัวCyndi Maxey ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องภาวะผู้นำได้รวบรวมพฤติกรรมหรือบาป 10 ประการที่พาผู้นำหรือผู้บริหารติดอันดับ “ผู้นำยอดยี้” ไว้ดังนี้


บาปข้อที่ 1 : ทำให้ลูกน้องอับอายในที่สาธารณะอย่านึกว่าจะมีแต่คนไทยหรือชาวเอเชียเท่านั้นที่เรื่องของ “หน้า” เป็นเรื่องสำคัญ ชาวตะวันตกเองก็เห็นเรื่องของการรักษาหน้า (Face – Saving) เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าพวกเราเช่นกัน แม้ว่าวัฒนธรรมชาวตะวันตกจะนิยมการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา ไม่ค่อยเกรงใจผู้อาวุโสมากเท่าชาวเอเชียแต่ผลปรากฏว่าเรื่องของ การที่ผู้นำไม่รักษาหน้าลูกน้อง (หรือฉีกหน้า) ได้รับการลงความเห็นว่าเป็นสาเหตุในลำดับต้นๆ ที่ผู้บริหารยอดยี้ชอบทำถ้าท่านเคยชมภาพยนตร์เรื่องไอ้แมงมุม (Spider Man) ตอน 3 คงจะพอจำได้ว่า Peter Parker หรือไอ้แมงมุมสุดหล่อได้แฉโพย Eddie Brock ช่างภาพมือสมัครเล่นที่พยายามแย่งงานไอ้แมงมุมว่าภาพที่ Eddie ถ่ายเป็นภาพตกแต่งถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นความจริง แต่ก็ทำให้ Eddie ต้องเสียโอกาสที่จะได้งานและต้องเสียหน้าเป็นอย่างมาก จากนั้น Eddie ก็กลายเป็นมารร้ายคอยแก้แค้นไอ้แมงมุม…ดังนั้นพึงจำไว้ให้ดีว่า หากคิดจะตำหนิหรือตักเตือนลูกน้อง อย่าได้วีนลูกน้องต่อหน้าคนอื่น ควรเรียกมาคุยโดยลำพัง แต่ถ้าจะชมเขา ให้ชมต่อหน้าคนอื่น
บาปข้อที่ 2 : ไม่สนใจรับฟังและสนับสนุนความคิดของลูกน้องอย่างจริงใจอย่างที่ทราบกันดีอยู่ว่าแรงงานในปัจจุบันจะเป็นคนรุ่นใหม่พวก Gen X และ Gen Y ที่ได้รับการศึกษาอบรมให้กล้าแสดงออก กล้าพูดและต้องการแสดงความคิดเห็น ดังนั้นผู้นำจะต้องจัดสรรทั้งเวลาและเวทีให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ได้นำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่อาจนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่นอกจากจะต้องฟังความเห็นของพวกเขาอย่างตั้งใจแล้ว ผู้นำยังจะต้องให้คำวิจารณ์ว่าความคิดของเขาดีหรือบกพร่องอย่างไร พร้อมทั้งนำความคิดที่ดีๆ ของเขาไปต่อยอดทำให้มันเป็นความจริงกลายเป็นโปรเจ็คออกมาผลการสำรวจความต้องการของพนักงานรุ่น Gen X และ Gen Y ในทวีปเอเชียที่จัดทำอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ขององค์กรต่างๆ เช่น Hewitt Associate Dow Chemical Novartis ฯลฯ บ่งบอกว่า คนรุ่นใหม่รู้สึกกระตือรือร้น และถูกจูงใจได้ด้วยการที่พวกเขาได้ทำงานร่วมกับผู้นำ และองค์กรที่กระตุ้นต่อมความคิดของเขาพวกเขาไม่ชอบงานที่ต้องรับคำสั่งอย่างเดียว และจะไม่ชอบมากๆ เลยถ้าผู้นำไม่สนใจรับฟังความเห็นของลูกน้อง และยิ่งจะไม่ชอบที่สุดถ้าผู้นำเสแสร้งทำเป็นขอความเห็นพวกเขาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ ว่าตนเองเป็นผู้นำรุ่นใหม่ ที่บริหารแบบให้พนักงานมีส่วนร่วม (Participatory Management) แต่เนื้อแท้เป็นเผด็จการและใจแคบ…อย่านึกว่าลูกน้องรู้ไม่ทันนะ!
บาปข้อที่ 3 : ชมลูกน้องไม่เป็นง่ะ!ในปี 1998 Gallup ได้ทำการสำรวจความเห็นพนักงานหลายพันคนว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้พวกเขามองว่าองค์กรที่ทำงานด้วยเป็น “องค์กรชั้นดี”ผลสำรวจออกมาว่าหนึ่งในปัจจัยยอดนิยมได้แก่ การได้รับ “คำชมเชยจากผู้บังคับบัญชา” เมื่อทราบเช่นนี้แล้วผู้บริหารทั้งหลาย ที่เคยคิดว่า การชมเชยหรือยกย่องลูกน้องจะทำให้พวกเขาเหลิง เลยประหยัดคำชม หรือไม่ชมเลยนั้น ควรเปลี่ยนความคิดบ้างพยายามสังเกตสังกาว่าลูกน้องมีการเปลี่ยนแปลงในทางบวกอย่างไร แม้จะเป็นการพัฒนาเพียงน้อยนิด ก็ควรให้ความเห็นในเชิงบวกเช่น “อือม์ คุณเริ่มต้นงานชิ้นนี้ได้ถูกทางแล้วนะ…” เป็นต้น ทั้งนี้ความเห็นของผู้บังคับบัญชาเป็นสิ่งที่ลูกน้องต้องการมากเพื่อที่จะรู้ว่าเขาทำงานได้ตามที่คาดหวังหรือไม่แต่ผู้นำบางคนชมไม่เป็น มิหนำซ้ำยังอิจฉาหรือหมั่นไส้ลูกน้องที่ทำท่าว่าจะเก่งเกินหน้าเสียอีก! แบบนี้จะไม่ยี้ยังไงไหว!
บาปข้อที่ 4 : เพิกเฉยละเลยความต้องการพัฒนาตนเองของลูกน้องใครมันจะอยากเป็นลูกน้องตลอดชาติ? พนักงานที่ยังไม่แก่จนกลายเป็นเดดวู้ด (Dead wood) ทุกคนล้วนมีความต้องการที่จะพัฒนาฝีมือ ความสามารถของตนเพื่อที่จะได้เป็นดาวรุ่งหรือ Top Talent ในสายอาชีพของตนกันทั้งนั้นงานวิจัยเรื่องความพึงพอใจในงานของพนักงานทั่วโลกล้วนบ่งชี้ว่าหากผู้นำละเลยที่จะสร้างโอกาสหรือจัดเส้นทางพัฒนาอาชีพ (Career Development) ให้พนักงานได้ฝึกอบรม ดูงาน หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รับรองว่าพนักงานจะเบื่อเจ้านายที่ใจแคบคิดแต่จะใช้ประโยชน์งานจากลูกน้องถ่ายเดียวโดยไม่คิดให้ความรู้ใหม่ๆ แก่พนักงานแน่ๆ
บาปข้อที่ 5 : วางนโยบาย เป้าหมายหรือกฎระเบียบที่ไม่เป็นจริงคำว่า “ไม่เป็นจริง” (Unrealistic) นี้ หมายความว่า “เป็นไปไม่ได้” นั่นเอง ตัวท่านผู้อ่านเองก็อาจจะเคยพบผู้นำประเภทที่นึกว่าลูกน้องเป็นพระเอกหนังเรื่อง Mission Impossible เลยชอบวางนโยบายกฎระเบียบที่เคร่งครัด กำหนดเป้าหมายการทำงานที่สูงลิบลิ่วประมาณว่าทำงานทั้งชาติก็คงยากที่จะบรรลุผลสัมฤทธิ์ และที่สำคัญคือ สงสัยว่าตัวผู้นำเองจะทำได้หรือเปล่า?
บาปข้อที่ 6 : สื่อสารไม่ชัดเจน อธิบายงานไม่เป็นผู้นำหลายคนสื่อสารไม่เป็น เช่น ไม่สามารถระบุมาตรฐานงานที่ต้องการได้ พูดจาคลุมเครือหรือไม่ก็อ้อมค้อม อ้อมไปอ้อมมาเลยทำลูกน้องเตลิดหลงทางเข้าป่า เสร็จแล้วเป็นยังไงทราบไหมคะ? พองานเสร็จเอาไปส่งเจ้านาย ท่านก็จะบอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ทำแบบนี้มาส่งได้ยังไง? สรุปแล้วลูกน้องก็เลยต้องผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง
บาปข้อที่ 7 : ผู้นำใจหินผู้นำใจหินหรือคนแล้งน้ำใจก็เป็นพฤติกรรมอีกหนึ่งประเภทที่น่ายี้ (อันที่จริงแล้วใครก็ตามที่ไม่มีน้ำใจมันก็น่ายี้ทั้งนั้นนะคะ) ลองนึกภาพลูกน้องที่ป่วยเป็นไข้หวัดตาแดง ไอจนตัวโก่งเดินมาทำงาน พอเจอหน้าลูกน้องเท่านั้นแหละ แทนที่ผู้นำจะถามไถ่สักคำว่า “ไม่สบายเป็นอะไรมากหรือเปล่า ไหวไหม?” แต่ผู้นำกลับไม่สนใจซักถามทุกข์สุขเลย แต่ตั้งหน้าตั้งตาสั่งงานเป็นชุด ประมาณว่าไม่เคยเหลือบสายตาดูเลยว่าลูกน้องมีสีหน้าอย่างไรหรือถึงแม้เหลือบตาเห็นเขาก็ไม่แคร์… เป็นผู้นำแบบนี้ก็อย่าหวังจะได้ใจจากลูกน้องเลย แล้วก็เวลาผู้นำดวงตกก็อย่าหวังว่าใครจะมาแลก็แล้วกัน
บาปข้อที่ 8 : ข้าพเจ้าเก่งที่ซู้ดอยู่คนเดียวโดยมากคนที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำก็มักจะมีความสามารถและฝีไม้ลายมือพอสมควร มิฉะนั้นก็คงไม่ได้เป็นผู้นำ (ยกเว้นประเภทประจบสอพลอเป็นวิชาเอก) แต่ถึงแม้จะเก่งเพียงใด ก็ยากที่จะเป็นสัพพัญญูบางคนนึกว่าตัวเองฉลาด เก่งและถูกต้องอยู่คนเดียว ไม่ยอมรับฟังความเห็นของลูกน้องเลย ลูกน้องต้องรับบทสนองคำสั่งอย่างเดียว แถมผู้นำบางท่านยังแสบขึ้นไปอีก กล่าวคือ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าลูกน้องคิดถูก ทำถูกและเก่งกว่าตัว แต่ท่านผู้นำก็ไม่เคยยกย่องให้เครดิตว่าเป็นผลงานของลูกน้อง โดยทำการมั่วนิ่มว่าไอเดียของลูกน้องเป็นของตนเองเสียอีกแน่ะ! ยี้! จริงๆ
บาปข้อที่ 9 : ไม่ใส่ใจในลักษณะเฉพาะตนของลูกน้องแต่ละคนผู้นำบางคนไม่ใส่ใจในรายละเอียดว่าลูกน้องแต่ละคนมีทัศนคติ มีความชอบและความถนัดที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงใช้วิธีบริหารแบบ “โหลๆ” คือ ปฏิบัติต่อลูกน้องทุกคนเหมือนกันโดยเข้าใจว่าตนเองมีความยุติธรรมเพราะปฏิบัติกับทุกคนเหมือนกันซึ่งความยุติธรรม ความเท่าเทียมกันนั้นไม่ได้หมายความว่าต้องบริหารพนักงานทุกคนด้วยวิธีการเหมือนกันเสมอไป ผู้นำที่มีจิตวิทยาสูงจะรู้ว่าควรจะพูดโน้มน้าว ควรใช้ท่าทีแบบใดในการบริหารลูกน้องแต่ละคนจึงจะสามารถดึงเอาผลงานที่ดีที่สุดจากพวกเขาได้
บาปข้อที่ 10 : ขอโทษไม่เป็นข้อสุดท้ายนี้คลาสสิกจริงๆ เพราะหลังจากที่ผู้นำทำผิดพลาดนานัปการจนลูกน้องร้องยี้อยู่บ่อยๆ แล้ว หนังก็จบลงตรงที่ว่าผู้นำไม่เคยขอโทษสักคำ
“ยี้” ได้สมบูรณ์แบบอย่างนี้ ถึงนาทีนั้นน่าจะเหลือแต่ผู้นำคนเดียว เพราะลูกน้องคงขอย้ายสังกัดหนีกันไปหมด หรือไม่ก็ลาออกกันไปเลย ทั้งหลายทั้งปวงข้างต้น ผมเรียนว่า การเป็นผู้นำคนมันต้องมียุทธศาสตร์การบริหาร ทั้งเรื่อง งานและเรื่อง คน ทำงานเอาแต่ใจตัวเอง ถือว่าข้าใหญ่ซะอย่าง ประเภท I am OK , You are Not OK เวรกรรมมันมีจริงครับ ระวังแก่เฒ่าไปจะไม่มีคนคบ
เจริญพร
กรณ์ พรประเสริฐภัทรา

ที่มา : ผู้นำตามสั่ง Leader A La Carte : รศ.ดร. ศิริยุพา รุ่งเริงสุข กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

10 วิธีสู่ความสำเร็จของผู้บริหารระดับกลาง

เรามักได้ยินเสมอๆ ว่าการเป็นคนกลางมักพบกับความลำบากใจ การเป็นผู้บริหารระดับกลางมีบทบาทในการนำนโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้บริหารระดับสูงมาปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ ในขณะเดียวกันต้องรู้จักบริหารจัดการลูกน้องในระดับปฏิบัติการให้ดำเนินการตามทิศทางที่กำหนด ผู้บริหารระดับกลางจึงเปรียบเสมือนคนกลางระหว่างผู้บริหารระดับสูงกับพนักงานระดับปฏิบัติการ หากผู้บริหารระดับกลางมีความพร้อมจะนำไปสู่การบริหารลูกน้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที ผู้บริหารระดับกลางจึงมีความสำคัญอย่างมากในการผลักดันองค์กรให้รุดหน้า ในภาวะการดำเนินธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงอย่างในปัจจุบัน ผู้บริหารที่ดีจำเป็นต้องมีคุณลักษณะดังนี้

1.จัดระเบียบองค์กรให้พร้อมและมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ รวมทั้งมีความว่องไวในการบริหารงาน สื่อสาร สั่งการให้ชัดเจน และติดตามความสำเร็จของการทำงานอยู่เสมอ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการสื่อสาร ทำให้การงานเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น และมุ่งสู่ความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
2.มุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างหนัก เพื่อให้เกิดการยอมรับที่ดี ตลอดจนเป็นต้นแบบการปฏิบัติงานแก่ทีมงานได้เอาเป็นแบบอย่าง
3.มุ่งเน้นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กร ต้องเลือกตัดสินใจดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนำไปสู่ชัยชนะขององค์กร โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
4.เตรียมพร้อมทำการบ้านก่อนเข้าประชุม หรือเจรจากับผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสิน ควรศึกษาให้ดีเสียก่อน ว่าเขามีความคิดเห็นหรือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างไร เพื่อดำเนินการให้ได้ถูกทิศทางและไม่เสียเวลา
5.รู้จักตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นให้ทีมงานในการแสวงหาคำตอบให้กับเรื่องต่างๆ ที่ซ่อนเร้นหรือยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน
6.รู้จักวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา รู้จักวิเคราะห์ว่าอะไรที่เป็นปัญหาขัดขวางกระบวนการทำงาน พยายามทำความเข้าใจสาเหตุและหาหนทางแก้ไข
7.มองโลกในแง่ดีและรู้จักปล่อยวาง บางครั้งหากอุปสรรคบางอย่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ควรจะปล่อยวาง และหันไปจัดการกับปัญหาอื่นแทน
8.เชื่อในศักยภาพของคน ทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ หากได้รับคำแนะนำที่ดีจากผู้นำ ลูกน้องจะมีกำลังใจและสามารถทำงานได้ดี
9.รักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น หากเคยมีเรื่องผิดใจ หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักกับลูกน้องกับเพื่อนร่วมงาน ควรรีบปรับความเข้าใจ หากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่องานในระยะยาว
10.เป็นผู้ที่ปรารถนาความสำเร็จ และมีความสุขเมื่องานที่ทำนั้นสำเร็จลุล่วง ผู้บริหารที่ดีต้องมีไฟอยู่ตลอดเวลา ต้องมองไปข้างหน้า และหาแนวทางก้าวสู่ความสำเร็จที่ปรารถนาให้ได้
เพียงคุณข้าใจบทบาทของตนเอง และรู้จักวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน คุณก็จะสนุกกับการเป็นคนกลาง และไม่ต้องปวดหัวหรือลำบากใจกับการทำงานอีกต่อไป
ที่มา jobdb.com

การบริหารการผลิตและการปฏิบัติการ

วันนี้จะขอปูเรื่อง การบริหารภาคปฏิบัติการ กันซะหน่อยครับ เพราะไม่ว่างหาเรื่องราวแบบนี้มาให้อ่านไปหลายสัปดาห์แล้ว พอดีได้ไปอ่านเจออะไรดีๆมาจาก shine-management-tips.blogspot.com เลยนึกอยากเอามาฝากเพื่อนๆ เพื่อตอกย้ำความรู้ของแฟนๆ TFN ซึ่งผมเน้นเสมอว่า เราควรจะต้องรู้และเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราเป็นและทำอยู่ ทั้งนี้เพื่อนำองค์ความรู้ต่างมาประยุกต์ใช้ในแต่ละเรื่องราวที่เราทำงาน จะทำให้งานของเราดูมี Concept ที่เป็นวิชาการ เชื่อถือได้ครับ ซึ่งเรื่องหยั่งงี๊สำคัญ
การผลิตและการดำเนินงานเป็นหน้าที่สำคัญที่มีอยู่ในทุกองค์การซึ่งผู้บริหารต้องให้ความสนใจ เพราะการดำเนินงานจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสร้างรายได้และการดำรงอยู่ของธุรกิจ โดยเราสร้างความเข้าใจร่วมกันว่าการดำเนินงานเป็นกระบวนการแปรรูปปัจจัยนำเข้า เช่น แรงงาน วัตถุดิบ และพลังงาน ให้กลายเป็นผลลัพธ์ในรูปของสินค้าและ/หรือบริการ โดยทั้งสินค้าและบริการต่างมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันหลายประการ เช่น ความทนทาน พื้นที่ในการจัดเก็บ และระยะเวลาในการตอบสนอง เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีลักษณะร่วมกันที่สำคัญ คือ ต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
การผลิต (Production) เป็นการสร้างสินค้าและบริการ
การปฏิบัติการ (Operation) เป็นกระบวนการภายในองค์การซึ่งใช้ปัจจัยนำเข้า (Input) เช่น คน เงินทุน วัตถุดิบ ฯลฯ และแปรรูปปัจจัยนำเข้าเหล่านั้นให้เป็นปัจจัยนำออก (Output) ในรูปของสินค้าและบริการ
การบริหารการผลิต (Production management) เป็นการวางแผนและการตัดสินใจเพื่อการผลิตสินค้า
การบริหารการปฏิบัติการ (Operation Management : OM) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการ โดยผ่านกระบวนการแปรสภาพ (transformation) จากปัจจัยนำเข้า (input) เพื่อให้ออกมาเป็นปัจจัยนำออก (output) หรือเป็นการออกแบบ (design) การปฏิบัติการ (operations) และการปรับปรุงระบบการผลิต (Production system improvement)
ระบบการผลิต (Production system) เป็นระบบซึ่งเปลี่ยนแปลงปัจจัยนำเข้า (input) ออกมาเป็นกลุ่มของปัจจัยนำออก (output) ที่ต้องการ
ปัจจัยนำเข้า (Input) เป็นทรัพยากรการผลิต (Production resources) หรือทรัพยากรการปฏิบัติการ (Operation Resources) ประกอบด้วย 5 ประการ
1. คน (People) หมายถึง กำลังแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม2. โรงงาน (Plant)3. ชิ้นส่วน (Parts)4. กระบวนการ (Processes)5. ระบบการวางแผนและการควบคุม (Planning and control system)
การบริหารการปฏิบัติการเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญ 3 ประการขององค์การ ซึ่งประกอบด้วย
1. การผลิต (Production) / การปฏิบัติการ2. การเงิน (Finance) / บัญชี (accounting)3. การตลาด (Marketing) / การขาย (Selling)
งานของผู้บริหารการปฏิบัติการ (Operation manager’s job) ผู้บริหารที่ดีจะกระทำหน้าที่พื้นฐานในกระบวนการทางการบริหาร (management process) ประกอบด้วย
1. การวางแผน (Planning)2. การจัดองค์การ (Organizing)3. การจัดคนเข้าทำงาน (Staffing)4. การชักนำ (Leading)5. การควบคุม (Controlling) เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
การจัดองค์การเพื่อผลิตสินค้าและบริการ (Organizing to produce and services) ในการผลิตสินค้าและบริการ ควรมีการจัดองค์การเพื่อทำหน้าที่ 3 ประการ คือ
1. การผลิต (Production) / การปฏิบัติการ2. การเงิน (Finance) / บัญชี (Accounting)3. การตลาด (Marketing)
การปฏิบัติการจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ 10 ประการ มีดังนี้
1. งานในสาขาด้านเทคโนโลยี / วิธีการต่าง ๆ (Technology / methods)
2. การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก / การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ (Facilities / space)
3. งานด้านการใช้กลยุทธ์ (Strategic issues)4. งานที่เกี่ยวกับเวลาที่ใช้ (Response time)5. งานเกี่ยวกับการพัฒนาบุคคล / ทีมงาน (People / team development)6. งานการบริการลูกค้า (Customer service)7. งานด้านคุณภาพ (Quality)8. งานการลดต้นทุน (Cost reduction)9. งานการลดสินค้าคงเหลือ (Inventory reduction) และการบริหารเครือข่ายปัจจัยการผลิต (Supply-chain management)10. งานการปรับปรุงด้านการเพิ่มผลผลิต (Productivity improvement)การปฏิบัติการในส่วนของงานบริการ (Operation in the service sector) การบริการ (service) เป็นกิจกรรมด้านเศรษฐกิจซึ่งผลิตสินค้าที่ไม่มีตัวตน เช่น การศึกษา ความบันเทิง การเช่า การบริหารงานของรัฐบาล การเงิน การบริการด้านสุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ การประกัน การซ่อม และการบำรุงรักษา เป็นต้น
การวัดผลผลิต (Productivity measurement) เป็นการวัดมูลค่ารวมของปัจจัยนำออกที่เกิดจากกระบวนการแปรสภาพหารด้วยต้นทุนรวมของปัจจัยนำเข้า มีดังนี้
1 . การวัดผลผลิตแบบปัจจัยเดี่ยว (Single factors productivity)2. การวัดผลผลิตแบบหลายปัจจัย (Multi factors productivity)ผลผลิต (Productivity) เป็นจำนวนผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ผลิตได้จากการใช้ทรัพยากรจำนวนหนึ่ง
ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับผลผลิต (Productivity variables) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการชนิดหนึ่งเป็นอัตราส่วนของปัจจัยนำเข้าต่อปัจจัยนำออก ซึ่งแสดงผลผลิตที่จะขึ้นอยู่กับตัวแปรดังต่อไปนี้1. แรงงาน (Labor)2. ทุน (Capital)3. การบริหาร (Management)
กลยุทธ์การดำเนินงานและการปฏิบัติการ
กลยุทธ์การดำเนินงานหมายถึงวิสัยทัศน์และแผนระยะยาวเกี่ยวกับการแปรรูปปัจจัยนำเข้าให้เป็นผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการสำหรับลูกค้า ซึ่งเราสามารถอธิบายโดยใช้แบบจำลองกลยุทธ์การดำเนินงาน ซึ่งมีส่วนประกอบ 4 ประการคือ ภารกิจการดำเนินงาน ความสามารถเฉพาะ วัตถุประสงค์การดำเนินงานและนโยบายการดำเนินงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน นอกจากนี้ผู้กำหนดกลยุทธ์ยังต้องให้ความสำคัญกับสภาพแวล้อมทั้งภายนอกและภายในองค์การ ตลอดจนการนำกลยุทธ์ที่กำหนดขึ้นมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม
กลยุทธ์การปฏิบัติการ (Operation strategy) เพื่อการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (competitive advantage) มีดังนี้
1. การกำหนดภารกิจและกลยุทธ์ (identifying mission and strategies)
2. การบรรลุข้อได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยการปฏิบัติการ (achieving competitive advantagethrough operations)
3. การตัดสินใจ 10 ประการในการบริหารการปฏิบัติการ (ten decisions of OM)4. ประเด็นสำคัญในกลยุทธ์การปฏิบัติการ (issues in operations strategy)5. การพัฒนากลยุทธ์และการปฏิบัติตามกลยุทธ์ (strategy development and implementation)บริษัทจะบรรลุภารกิจได้ 3 ทางคือ1. การสร้างความแตกต่าง (differentiation)2. ความเป็นผู้นำด้านต้นทุน (cost leadership)3. การตอบสนองที่รวดเร็ว (quick response)
ภารกิจ (missions) เป็นงานพื้นฐานกิจกรรม และลักษณะงานขององค์การ โดยเป็นจุดมุ่งหมายขั้นพื้นฐาน (basic purpose) และเป็นขอบเขตการปฏิบัติการ (scope of operations) ขององค์การ
กลยุทธ์การปฏิบัติการ (Operation strategy) เป็นแผนเพื่อการบรรลุวัติถุประสงค์การปฏิบัติการในสายผลิตภัณฑ์
การบรรลุข้อได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยการปฏิบัติการ (achieving competitive advantage through operations) ประกอบด้วย
1. กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง (differentiation strategies) : ความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ บริการ คุณภาพ และนวัตกรรม มีดังนี้ (ก) รูปร่างของผลิตภัณฑ์ (product features) (ข) การเพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าและบริการ (adding value to goods and services) (ค) คุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือคุณภาพของบริการ (product quality or service quality) (ง) ภาพลักษณ์ที่พึงปรารถนา (desirable image) (จ) นวัตกรรม (innovation)2. การแข่งขันด้านต้นทุน (Competing on cost)3. การแข่งขันด้านตอบสนอง (Competing on response) มีดังนี้ (1) การตอบสนองด้วยความยืดหยุ่น (Flexible response) (ข) ความเชื่อถือได้ของการจัดตารางเวลาปฏิบัติการ (reliability of scheduling) (ค) ความรวดเร็ว (Quickness)
การตัดสินใจในการบริหารการปฏิบัติการ 10 ประการ (ten decisions of OM) มีดังนี้
1. ด้านคุณภาพ (quality)2. การออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการ (product design)3. การออกแบบกระบวนการ (process design)4. การเลือกทำเลที่ตั้ง (location selection)5. การออกแบบผังโรงงาน (layout design)6. ทรัพยากรมนุษย์และการออกแบบงาน (human resources and job design)7. การบริหารเครือข่ายปัจจัยการผลิต (supply-chain management)8. สินค้าคงเหลือ (inventory)9. การกำหนดตารางการปฏิบัติการ (scheduling)10. การบำรุงรักษา (maintenance)
ประเด็นปัญหาในกลยุทธ์การปฏิบัติการ (issues in operations strategy) จะต้องพิจารณา
1. การวิจัย (research) เพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของกลยุทธ์การบริหารการปฏิบัติการ2. ศึกษาสภาพก่อนหน้าการปฏิบัติการ (preconditions) ในการพัฒนาประสิทธิผลของกลยุทธ์การบริหารการปฏิบัติการ3. การเคลื่อนไหว (dynamics) ในการพัฒนากลยุทธ์การบริหารการปฏิบัติการ กลยุทธ์จะมีการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ (ก) กลยุทธ์เคลื่อนไหวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงภายในองค์การ (changes within the organization) (ข) กลยุทธ์เคลื่อนไหวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม (changes in the environment)
การพัฒนากลยุทธ์และการปฏิบัติการ (strategy development and implementation) มีขั้นตอนดังนี้
1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (environmental analysis)2. การกำหนดภารกิจของบริษัท (determine corporate mission)3. การกำหนดกลยุทธ์ (form strategy)
ปัจจัยสู่ความสำเร็จที่สำคัญ (critical success factors : CSFs) จะกำหนดตามขอบเขตหน้าที่ในบริษัทดังนี้
1. การตลาด2. การเงิน/การบัญชี3. การผลิต/การปฏิบัติการ
การสร้างและการจัดหาคนเข้าทำงานขององค์การ (build and staff the organization) มีกระบวนการ 3 ขั้นตอน คือ
1. กำหนดกลยุทธ์และปัจจัยสู่ความสำเร็จที่สำคัญ (CSFs)2. กำหนดกลุ่มกิจกรรมที่จำเป็นเข้าในโครงการสร้างขององค์การ3. การบรรจุพนักงานด้วยบุคลากรที่เห็นว่าจะสามารถทำให้งานสำเร็จได้
ครับก้อต้องขออภัยกันหน่อย วันนี้เนื้อเยอะจัง ก็อบปี้เก็บไว้ดีครับ ค่อยๆอ่านไป นานๆผมจะเอามายัดเยียดให้เพื่อนๆ ส่วนใหญ่จะใส่ไว้ใน e-Library ครับ อ่านกันให้สนุกนะครับ
แล้วพบกันครับ
กรณ์ พรประเสริฐภัทรา
| Top ↑ |